เมื่อเวลา 15.50 น. วันที่ 20 ก.ค. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันที่ 2 โดยมีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งนี้ น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายชัยวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มีพฤติการณ์จงใจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มีความประพฤติเสื่อมเสียต่อศีลธรรมอันดี ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยทำร้ายจิตใจภรรยาของตัวเองอย่างแสนสาหัส จนภรรยาต้องออกมาโพสต์ข้อความ ระบุว่า ได้ทราบเรื่องของครอบครัวคนที่รัก ว่าสามีพูดกับภรรยาว่าฉันเลือกวิถีชีวิตแบบนี้สามคนผัวเมีย เธอรับไม่ได้ก็ออกไป แล้วผู้หญิงอีกคนก็มีลูกมีสามีแล้ว ฟังแล้วก็หดหู่ใจ #ค่านิยมสถาบันครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไป

น.ส.ชนก อภิปรายว่า พูดในฐานะหัวอกแม่คนหนึ่ง พูดในฐานะที่เป็นเพื่อนภรรยานายชัยวุฒิซึ่งเป็น ส.ส.ด้วย มั่นใจว่าเพื่อนสมาชิกอยากได้ข้อมูลจากตน เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะไว้วางใจนายชัยวุฒิหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกประกาศประมวลจริยธรรมของข้าราชการทางการเมืองปี 64 เมื่อวันที่ 11 ต.ค.64 เป็นมาตรฐานทางจริยธรรมที่สูงมาก ไม่ว่าจะคู่สมรสหรือบุคคลข้างกายต้องใช้มาตรฐานทางจริยธรรมนี้เช่นกัน นายชัยวุฒิกระทำขัดข้อ 10 เป็นที่ทราบกันว่านายชัยวุฒิ ครองรักครองคู่กับภรรยาของท่านมาเนิ่นนานจนมีบุตรด้วยกัน และภรรยาของท่านก็เป็น ส.ส. เมื่อท่านมาดำรงตำแหน่ง รมว.ดิจิทัลฯ พฤติกรรมก็เปลี่ยนไป กลับเชิดหน้าชูตาหญิงอื่นเยี่ยงภรรยาตัวเอง ทำร้ายจิตใจภรรยาอย่างแสนสาหัส
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอภิปรายของ น.ส.ชนก ส่งผลให้ ส.ส.หญิงพรรคพลังประชารัฐ และ ส.ส.หญิงพรรคร่วมรัฐบาล ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะๆ อาทิ น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ น.ส.กรณิศ งานสุคนธ์รัตนา ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ที่ระบุว่า เนื้อหาจะส่งผลกระทบ เป็นตราบาปกับบุตรของรัฐมนตรี เรื่องนี้ละเอียดอ่อน ควรจะพูดถึงเพียงแค่การบริหารราชการบกพร่อง ทำให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นชี้แจงสนับสนุนการอภิปรายของ น.ส.ชนก ว่าเรื่องนี้บรรจุอยู่ในญัตติ เหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ที่สำคัญเกิดความเสียหายต่อการปฏิบัติราชการ บุคคลนี้มีกระบวนการก้าวก่ายการจัดซื้อจัดจ้างในกระทรวง ตนเห็นใจทุกฝ่าย หลายคนที่ประท้วงเหมือนว่า น.ส.ชนก ผิด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นจากนายชัยวุฒิ ดังนั้นขอสรุปเลยว่ามีเรื่องชู้สาวจริงๆ ทั้งสื่อมวลชนและสังคมต่างรับรู้

นอกจากนี้ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ได้ประท้วงนายศุภชัย ที่ทำหน้าที่ประธานควบคุมการประชุมระบุว่า ขอให้พูดถึงปัญหาการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะเรื่องชู้สาวนั้น ไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่หากปล่อยไปอาจเกิดความเสียหาย

จากนั้น น.ส.ชนก อภิปรายต่อว่า ตราบาปที่เพื่อนสมาชิกได้กล่าวอ้างนั้น ตนไม่ได้เป็นคนทำ เพราะเป็นแม่ เป็นภรรยา เป็นเพื่อนของภรรยารัฐมนตรีชัยวุฒิเช่นกัน พฤติกรรมของรัฐมนตรีที่กล่าวอ้างมาทั้งหมด ในที่สุดทราบว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้มีการหย่าร้างกับภรรยา เมื่อถึงช่วงนี้ได้มีการเปิดรูปนายชัยวุฒิ ที่ถ่ายร่วมกับบุคคลหลายคน โดยมีการเบลอหน้าทุกคน ยกเว้นนายชัยวุฒิ
เมื่อถึงตรงนี้ทำให้นางนันทนา สงฆ์ประชา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาภิวัฒน์ ลุกขึ้นประท้วงทันทีว่า เรื่องนี้จะเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง ประธานควรสั่งให้หยุดการอภิปราย เรื่องนี้เป็นเรื่องครอบครัว การเอารูปอย่างนี้ขึ้นสมควรหรือไม่ ขอให้ประธานวินิจฉัยด้วย แต่ส่วนตัวมองว่าไม่ถูกต้อง

นายศุภชัย ซึ่งทำทำหน้าที่ประธานสภาฯ ได้วินิจฉัยว่าไม่ต้องบรรยายภาพว่าเป็นอย่างไร ขอให้คิดถึงใจเขาใจเราด้วย ถ้าหากมีคลิปหรือภาพอะไร ขออย่าเปิดอีกเลย ต่อมานายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงว่า ขอให้ประธานสภาฯ ใช้ข้อบังคับที่ 70 ที่ระบุว่า หากเนื้อหาเพียงพอ สามารถสั่งให้ยุติการอภิปรายได้ เพราะตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่ากำลังจะพูดเรื่องอะไรต่อ จากนั้น นายศุภชัย ประธานในที่ประชุม ได้วินิจฉัยอีกครั้งว่าแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเสื่อมเสียต่อจริยธรรมอันดี แต่ไม่ต้องลงในรายละเอียดไปถึงบุคคลอื่น คิดว่าทุกคนคงเข้าใจแล้ว ขออย่าพาดพิงถึงบุคคลที่สามอีก จากนั้นทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะๆ เพราะมั่นใจในข้อมูลของตัวเอง โดยฝ่ายค้านมองว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในญัตติที่ได้ยื่นอภิปราย ด้าน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลก็ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานที่บกพร่อง แต่เป็นเรื่องครอบครัว ซึ่งมีความละเอียดอ่อน

ทำให้นายจุลพันธ์ ลุกขึ้นประท้วงต่อการที่ประธานปิดไมค์ไม่ให้พูด จะใช้วิธีนี้ปิดปากฝ่ายค้านใช่หรือไม่ ด้านนายศุภชัย ระบุว่า ได้ตักเตือน น.ส.ชนก หลายครั้งแล้ว ว่าขอให้ยุติการพูดเรื่องครอบครัวของรัฐมนตรี หากอภิปรายประเด็นอื่นจะอนุญาตให้อภิปรายต่อ
น.ส.ชนก อภิปรายว่า นายชัยวุฒิมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นแบบอย่างที่ดี ไม่รักษาขนบธรรมเนียมประเพณี อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เอื้อประโยชน์ในกระทรวงที่รัฐมนตรีบริหารอยู่หรือไม่ จึงไม่สามารถไว้วางใจนายชัยวุฒิได้จริงๆ พร้อมกับร่ายกลอนส่งท้ายว่า “อันเรื่องราวตัณหานี้สาหัส ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง อุตส่าห์หัดวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน”

จากนั้นนายชัยวุฒิได้ชี้แจงว่า ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกคนที่ให้เกียรติตน ได้ช่วยกันประท้วงและมีการควบคุมการอภิปราย จริงๆไม่ได้ประสงค์ให้มีการปิดกั้น อยากให้พูดให้หมด รูปภาพจะเปิดก็เปิดไปเถอะ ของมันไม่จริงมันก็ไม่มีอะไร ไม่ได้กลัวอยู่แล้ว แต่ส่วนตัวคิดว่าการอภิปรายในประเด็นเรื่องแบบนี้ไปไกลไปหน่อย มาตรฐานมันต่ำ มีเรื่องให้พูดตั้งเยอะ การพูดเรื่องที่มันต่ำ คนพูดจะต่ำไปด้วย  ภาพจะติดตัวท่านไป คิดว่าคนที่ให้ข้อมูลท่านพูดเรื่องนี้ ไม่ได้หวังดีกับท่าน เพราะนอกจากภาพที่ไม่ดีจะติดตัวไปแล้ว มันจะมีคดีติดตัวด้วย ในคดีหมิ่นประมาท ไปฟังคนโน้นคนนี้ แล้วมามโนไปอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วเอามาพูดในสภา ข้อเท็จจริงไม่มี สุดท้ายก็ไปสู้กันที่ศาล ไม่ใช่ตนฟ้อง แต่คนที่เสียหายเขาฟ้อง ถึงบอกว่าคนที่เอาเรื่องนี้มาให้ท่านพูด ไม่ได้หวังดีกับท่านแน่นอน เพราะทำให้ภาพท่านดูไม่ดี และท่านจะมีคดีติดตัวด้วยแน่นอน แต่โชคดีที่ท่านไม่ได้พูด 
 

“ทุกคนถ้ารู้จักผม จะรู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร คุณไม่รู้จักผมก็อย่ามาอภิปรายในเรื่องส่วนตัวผม ไปฟังคนโน้นคนนี้พูดมา แล้วเอามาพูดมันไม่ใช่”

นายชัยวุฒิ ชี้แจงว่า ส่วนเรื่องในงาน คนที่คุณพูดทั้งหมด เพื่อนตน คนที่มาช่วยงานตน ทีมงานที่ปรึกษา เลขาฯ บางคนมาช่วยก็ไม่ได้มีเงินเดือน เป็นเพื่อนว่างๆ ก็มาช่วยกันคิด ช่วยกันทำงานพัฒนางานในกระทรวงให้ดียิ่งขึ้น หลายคนมีประสบการณ์ในแต่ละด้าน เช่น ไอที หรือเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การมีเพื่อนมาช่วยทำงานเป็นเรื่องปกติทุกกระทรวงก็มีเพื่อน และะคนรู้จักมาช่วยทำงาน มีกระบวนการในการสรรหาเข้ามาทำงาน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่ทำได้จนกว่าจะมีการทุจริต ก็ไปฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช่มาอภิปรายพูดเหมือนทำความผิดทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

การอภิปรายทั้งหมดไม่ได้มีข้อเท็จจริง ที่เป็นความเสียหายต่อการทำงานของตน มีเพียงคนรู้จัก และเพื่อนมาช่วยตนทำงาน มาเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนในสภาฯ มีเพื่อนมาช่วยให้งานเดินหน้าและทำงานให้บ้านเมือง ส่วนเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างดิจิทัลชุมชน เป็นเรื่องในปี 63-64 เป็นเรื่องที่เกิดก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่ง และไม่ได้มีความเสียหาย หรือมีการฟ้องร้อง แต่ตนจะตรวจสอบดูว่าได้แก้ไขอย่างไรไปบ้าง
         
จากนั้น น.ส.ชนก ลุกขึ้นประท้วงให้นายชัยวุฒิตอบให้ตรงประเด็นและจี้ถามว่า ”เมื่อสักคู่ดิฉันยังอภิปรายฯ ไม่จบด้วยซ้ำ หากนายชัยวุฒิ บริสุทธิ์ใจจริง ไม่กังวลจริง ท่านหย่าทำไม”


ผู้สื่อข่าวรายงาน นางกานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ อดีตภรรยานายชัยวุฒิ ได้เดินทางมาร่วมประชุมในสภาฯ ติดตามการอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลด้วย เพียงแต่ในช่วงที่มีการอภิปรายเนื้อหาที่โดนพาดพิงในเรื่องนี้ ได้ลุกออกไปนอกห้องประชุม ไม่ได้อยู่ร่วมรับฟัง

ทั้งนี้นอกจาก น.ส.ชนก แล้ว นายวันนิวัติ สมบูรณ์ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายชัยวุฒิเช่นกันเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ดี แต่ รมว.ดีอีเอส นำมาใช้ขณะที่ยังไม่มีความพร้อม เอื้อประโยชน์ให้ “บัดดี้” หมายถึง เพื่อน คนสนิท พวกพ้อง โดยเซ็นแต่งตั้งที่ปรึกษา 7 ท่าน หนึ่งในนั้นคือเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ชั้น ม.1 มีความสนิทแนบแน่นอย่างมาก ที่สำคัญเป็นผู้บริหารเจ้าของบริษัทไอที โดยตั้งเป็นที่ปรึกษา แต่ตนคิดว่าไม่เหมาะสม เพราะเมื่อตั้งเป็นที่ปรึกษาแล้ว ที่ปรึกษาท่านนี้ยังไปเป็นกรรมการในสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติแผนการดำเนินงาน แผนการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงาน แต่เมื่อกฎหมาย PDPA ไม่พร้อมก็ต้องมีการประชาสัมพันธ์ โดยตั้งงบประมาณไว้ 220 ล้านบาท แต่มีการประมูลได้ที่ 219 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการล็อกสเปกศูนย์ดิจิทัลชุมชน เอื้อประโยชน์พวกพ้อง เริ่มจากปี 63 ทาง สดช.ทำสัญญากับบริษัท กสท. โทรคมนาคม (CAT) จัดทำศูนย์ดิจิทัลชุมชนมีการเซ็นสัญญา 250 ศูนย์ วงเงิน 277 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่เสร็จมบูรณ์ ต่อมาในปี 64 มีการตั้งงบอีก 500 ล้านบาท เพื่อจะตั้งศูนย์ฯ อีก 500 แห่ง
 
นายวันนิวัติ กล่าวต่อว่า สิ่งที่แปลกประหลาดคือ ในทีโออาร์ไม่มีการระบุว่าต้องเป็นของใหม่ และยังระบุด้วยว่าให้ใช้เวลา 15 วัน เพื่อให้ได้ศูนย์ฯ ในกลุ่มแรก 250 ศูนย์ฯ จึงมีเพียงผู้รับเหมาเก่าเท่านั้นที่จะเปิดรับตรงนี้ได้ เพราะผู้รับเหมาใหม่คงจัดเตรียมไม่ทัน อย่างไรก็ตาม วันนี้เราควรมีศูนย์ฯ 750 ศูนย์ฯ ทั่วประเทศ แต่เรามีเพียง 500 ศูนย์ฯ ถามว่าเงิน 250 ล้านบาท หายไปไหน ประชาชนเสียประโยชน์ และเกณฑ์การพิจารณาปกติกรมบัญชีกลางจะใช้เกณฑ์ราคาเป็นตัวกำหนด แต่กลับใช้เกณฑ์ประสิทธิภาพต่อราคา ซึ่งแปลกประหลาด เพราะทีโออาร์รอบที่ 2 มีการบิดการประมูล โดยมีบริษัทเข้าร่วมประมูล 4 บริษัท ซึ่ง 3 ใน 4 บริษัท เป็นเอกสารจากธนาคารเดียวกัน และ 2 ใน 4 บริษัท มีเลขต่อกัน ชี้ชัดว่าท่านเอื้อประโยชน์ผู้รับเหมาเก่า เพื่อให้ได้งานใน 250 ศูนย์ฯ แรก