ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. มีการเสวนาในประเด็น “8 ปีประยุทธ์ พอเถอะครับ ประเทศไทยต้องไปต่อ” โดยมีผู้เสวนาประกอบด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรค พท.และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ คณะทำงานด้านกฎหมาย และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขาธิการและกรรมการคณะยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง เป็นผู้ดำเนินรายการ
นพ.ชลน่าน กล่าวว่าวันนี้อยากจะเน้นคำว่า พอเถอะ เพราะเป็นคำร้องขอประชาชน ให้ดังถึงผู้มีอำนาจว่าประเทศไทยต้องไปต่อ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าเราอยู่กับระบอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อความลำบากในการใช้ชีวิตทั้งเศรษฐกิจสังคม การเมือง สิทธิเสรีภาพ และความเป็นอยู่ แต่หลายคนบอกว่า ความสงบจบที่ลุงตู่จริงๆ เพราะชีวิตเราเงียบเหงามาก ที่สำคัญคือโอกาสของประเทศชาติบ้านเมืองที่สงบเงียบราบคาบ ถามว่าประเทศเรายืนอยู่ตรงไหนในเวทีโลก ซึ่งเราไม่สามารถหาคำตอบได้เจอ

“8 ปีที่ผ่านตั้งแต่ยึดอำนาจ และจะขออยู่อีกไม่นาน เพื่อคืนความสุขให้ประชาชน แต่กลไกที่ใช้สืบทอดอำนาจเป็นกลไกที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเพื่อให้อยู่ในอำนาจต่อ ทั้งตัวบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ระบบการเข้าสู่อำนาจ การเลือกตั้ง และการมีส่วนร่วมของประชาชน ล้วนพิสูจน์ให้เห็นเมื่อเข้ามาใช้อำนาจแล้ว อำนาจบริหารอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจการตรวจสอบในสภาฯ ก็เห็นว่าถูกทำลาย เสียหายอย่างร้ายแรง”
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประชาชนถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.สนับสนุนระบอบ พล.อ.ประยุทธ์ ร้อยละ 20 2.ค้ดค้านต่อต้านระบอบ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ร้อยละ 20 และ 3.กลุ่มพร้อมที่จะไปทางใดก็ได้ ร้อยละ 60 ซึ่งกลุ่มนี้กำลังถูกเจาะความศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อระบบการเมืองไทย เกรงว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ ได้ไปต่อหรือระบอบ พล.อ.ประยุทธ์ ยังอยู่ ประชาธิปไตยประเทศไทยจะถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายทุกคนจะถูกครอบด้วยประชาธิปไตยจอมปลอมมีแต่เปลือก
“เราไม่ก้าวล่วงอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เรารอศาลวินิจฉัย ตนมีความมั่นใจอยู่ลึกๆ ว่าโดยกระบวนการแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่อไม่ได้ ดังนั้นต้องรอกลไกอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าออกมาในทางที่เราคาดหวัง ก็ยุติบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ พ้นจากตำแหน่งและเลือกนายกฯ ใหม่ หวังว่าเลือกนายกฯใหม่จะเป็นทางออกเบื้องต้น แม้จะเป็นความหวังเล็กๆ ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ทางเลือกต่อมา คือ การคืนอำนาจให้ประชาชน นั่นคือยุบสภา ซึ่งฝ่ายค้านไม่อยากเป็นเครื่องมือให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง แต่ยุบสภา ที่ดีที่สุดเมื่อมีกฎหมายเลือกตั้งแล้ว”
เมื่อถูกถามถึงอำนาจรักษาการนายกฯของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สามารถยุบสภา ได้หรือไม่ ว่าสำหรับการยุบสภา ในช่วงนี้จะเหมาะสมหรือไม่ แม้เราจะอยากให้รัฐบาลชุดนี้คืนอำนาจให้กับประชาชน แต่ไม่มีข้อขัดแย้งกันระหว่างคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือฝ่ายบริหารกับฝ่ายสภา ซึ่ง 8 ปีที่ผ่านมาเป็นตัวพิสูจน์แล้วว่าเขาควรจะคืนอำนาจให้ประชาชนได้แล้ว แต่ที่เราไม่เรียกร้องในขณะนี้ เพราะเราเกรงว่าจะมีสุญญากาศทางการเมืองเกิดขึ้น
ช่วงเวลานี้ยังไม่เหมาะสม “ยุบสภา”
การยุบสภาในช่วงนี้ไม่เหมาะสม เพราะหากยุบสภาแล้วจะไม่เกิดการเลือกตั้งหรือหากเกิดการเลือกตั้งจะมีการใช้กลไก ซึ่งอาจจะชอบหรือไม่ชอบด้วยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เช่นการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) หรือออกประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งกติกาที่ออกมาจะเป็นธรรมหรือไม่ ต้องเป็นสิ่งที่ต้องดูและคิดกัน โอกาสที่จะเกิดวิกฤติทางการเมืองและเกิดความวุ่นวายก็เป็นไปได้สูง
“ส่วนอำนาจรักษาการนายกฯ สามารถยุบสภาได้หรือไม่นั้น เป็นข้อถกเถียงกันเยอะ คนที่ตีความตามกฎหมายเขาบอกว่าถ้ามีอำนาจเต็มก็ทำได้ทุกอย่าง แต่เรามองว่ายังมีความเห็นที่ต่างกันอยู่ ฉะนั้นต้องระมัดระวังในการตีความตรงนี้และต้องดูข้อเท็จจริงว่าเหมาะสมหรือไม่”
สำหรับกรณีนายอดิศร เพียงเกษ โฆษกผู้นำฝ่ายค้าน แถลงว่าจะฝ่ายค้านจะทำหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ยื่นศาลรัฐธรรมนูญทำความเห็นปมวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กลาโหม ซึ่งจะมีการเชิญนายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขานุการ กรธ. เพื่อไปให้การเป็นพยานต่อศาลเป็นลายลักษณ์อักษร ขณะนี้มีชื่อในใจแล้วหรือไม่ ว่าในฐานะที่เราเป็นผู้เริ่มร้องที่ร้องผ่านนายชวน โดยนายชวนเป็นผู้ร้องตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เรามองว่าการที่ศาลเปิดโอกาสและเปิดช่องให้มีการสืบพยานผู้เชี่ยวชาญ ในการจะพิจารณาข้อกฎหมายจำนวน 2 คนนั้นน่าจะไม่เพียงพอกับดุลยภาพของการพิจารณา
โดยมติที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่าควรที่จะเสนอไป แต่ศาลจะพิจารณารับหรือไม่รับนั้นก็เป็นอีกขั้นหนึ่ง แต่สิ่งที่เราทำคือมีช่องทางกฎหมายให้มีการเพิ่มเติมพยานได้ เราจะทำผ่านประธานรัฐสภาไป ขณะนี้มีรายชื่อที่เหมาะสมอยู่ในใจแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากต้องมีการพูดคุยกันในรายละเอียดว่าท่านจะยินยอมในการทำหน้าที่นี้หรือไม่ และเราจะทำให้เร็วที่สุด เพราะเท่าที่ดูศาลแจ้งมาว่าอยู่ระหว่างกระบวนการแจ้งพยานทั้ง 2 คนอยู่ และรอเวลาที่ผู้ถูกร้องทำคำชี้แจงภายใน 15 วันอยู่ จึงคงจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณา เราจะพยายามดูรายชื่อของบุคคลที่จะมาเป็นพยานให้เราให้ครอบคลุมที่สุด
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจรักษาการนายกฯ ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ว่า มีข้อถกเถียงกันอยู่พอสมควร แต่คนที่ดูเรื่องกฎหมายของรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี (ครม.) เขาก็ยืนยันว่าความเป็นรักษาการนายกฯของพล.อ.ประวิตร มีอำนาจเต็ม ที่สามารถทำหน้าที่แทนนายกฯในเรื่องนั้นๆ ได้ เพราะประธานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) คือนายกฯ ส่วนจะมีปัญหาอะไรหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่กระทำขึ้นมาว่ามีบวกมีลบหรือไม่อย่างไร รวมถึงต้องดูข้อเท็จจริงด้วย ถ้าการกระทำนั้น ทำให้เกิดผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน แน่นนอนว่าในนามของพรรคร่วมฝ่ายค้าน เราก็คงต้องไปตรวจสอบอย่างเข้มข้นว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเป็นประโยชน์จริงๆ หรือไม่

เมื่อถามว่า จะมีอะไรที่จะเข้าข่ายทำให้เราไปร้องหรือไปตรวจสอบอำนาจของรักษาการนายกฯ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ต้องดู 2 เรื่อง คือข้อกฎหมายว่าสามารถทำได้ตามข้อกฎหมายหรือไม่ แต่มีคนยืนยันและบอกว่าเป็นการใช้อำนาจเต็ม ส่วนข้อสงสัยในประเด็นดังกล่าวนั้น เราจะมีการพูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอีกครั้งว่าจะมีประเด็นอะไรหรือไม่ นอกจากนี้ ยังต้องดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แม้มีอำนาจตามกฎหมายแต่ผลการกระทำที่ไม่ชอบต่อความเสียหาย เช่น กรณีการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม หรือมีการกระทำในสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเอื้อประโยชน์ต่อผู้ใดผู้หนึ่งโดยมิชอบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านที่ต้องตรวจสอบอยู่แล้ว เอาผลการกระทำเป็นตัววัด
ขยี้10เรื่องแห่งความล้มเหลวช่วง8ปี
ทางด้าน นายพิชัย กล่าวว่าหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ ถูกมติศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่แล้ว น่าจะต้องทำใจได้แล้วว่าเวลาของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการบริหารประเทศได้สิ้นสุดแล้ว อย่าได้ดันทุรังต่อไปอีกเลย จะยิ่งสร้างความน่าอับอายให้กับตัวเองมากยิ่งขึ้น การที่ ผบ.ทบ.ออกมาพูดสดุดีพ ล.อ.ประยุทธ์ ก็หมายถึงการกล่าวชมเชยในการสิ้นสุดการทำหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น ความพยายามของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะยื้อแม้กระทั่งไปนั่งเป็น รมว.กลาโหม เป็นเรื่องที่ประชาชนจำนวนมากเห็นเป็นเรื่องน่าอับอายเหมือนทำใจไม่ได้ ยังยึดติด ยึดมั่นถือมั่น ยอมลดเกรดตัวเองเพื่อยื้อที่จะอยู่ ทั้งที่ต้องปล่อยวางได้แล้ว ลองคิดดูว่าประชาชนจำนวนมากดีใจอย่างมากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกไป หาก พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาใหม่จะยิ่งสร้างความโกรธและความไม่พอใจเป็นหลายเท่าทวีคูณ ซึ่งจะสร้างปัญหาให้กับประเทศอย่างมาก ดังนั้นเวลาของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้หมดแล้ว อย่าพยายามไปล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญต่ออีกเลย เพราะไม่มีประโยชน์ ถ้ารอดก็น่าจะรอดแต่แรกไปแล้ว

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ และเครือข่าย ได้บริหารประเทศล้มเหลวมาตลอด สมควรที่จะต้องไปทั้งหมดได้แล้ว โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจต้องเรียกว่าล้มเหลวยิ่งกว่าล้มเหลว โดยมีประเด็นที่แสดงความล้มเหลวอย่างที่สุด 10 เรื่องดังนี้ 1.รัฐบาลประยุทธ์เป็นรัฐบาลที่สร้างหนี้สาธารณะมากกว่าทุกรัฐบาลในอดีตรวมกัน ทำให้เป็นรัฐบาลที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากสุด
2.เป็นรัฐบาลใช้งบประมาณมากที่สุด แต่เศรษฐกิจกลับขยายตัวได้ต่ำที่สุดเฉลี่ยเพียงปีละ 1% กว่าเท่านั้น ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา 3.เป็นรัฐบาลที่มีการลงทุนต่างประเทศเฉลี่ยต่อปีต่ำที่สุด เพราะขาดความน่าเชื่อถือ
4.เป็นรัฐบาลที่ราคาน้ำมันแพงสุด ก๊าซหุงต้มแพงสุด และไฟฟ้าแพงสุด ในขณะที่ช่วงที่พลังงานราคาถูกกลับทำเศรษฐกิจให้ขยายตัวไม่ได้ และผลิตไฟฟ้าล้นเกินมากที่สุด จ่ายค่าความพร้อมมากที่สุด 5.เป็นรัฐบาลที่ข้าวของแพงสุด มีเงินเฟ้อสูง แต่ประชาชนรายได้ไม่เพิ่ม 6.เป็นรัฐบาลที่คนจนมากสุด คนตกงานมากสุด และคนฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจมากที่สุด
7.ความสามารถแข่งขันต่ำสุด ขนาด IMD ปรับลดลง 5 อันดับ และโครงสร้างพื้นฐานเสื่อมสุดไม่ได้มีการพัฒนา 8.มีการใช้งบทางการทหารมากที่สุด ซื้ออาวุธมากที่สุด ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ
9.เป็นรัฐบาลที่อันดับการทุจริตแย่ที่สุด ปี 64 อยู่อันดับ 110 จากการจัดอันดับขององค์กรสากล 10.โกหกมากที่สุด บอกว่าเศรษฐกิจดีทั้งที่แย่มาก ตั้งแต่ขอเวลาอีกไม่นานแต่ลากมา 8 ปี จะคืนความสุขแต่มีแต่ความทุกข์ คนจะอดตายกันหมดแล้ว แต่ยังยืนว่าตนเองบริหารได้ดี

นี่เป็น 10 ที่สุดแห่งความล้มเหลวย่ำแย่ที่เป็นผลจากการบริหารของพล.อ.ประยุทธ์และเครือข่าย ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังจะเข้ามาจะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมี 4 เรื่องดังนี้ 1.อัตราดอกเบี้ยที่น่าจะขึ้นอีกมาก โดยล่าสุดจากการกล่าวสุนทรพจน์ของนายจาโรม เพาเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ระบุชัดเจนว่า สหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายครั้งในอนาคตจนกว่าจะหยุดเงินเฟ้อได้ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม จะกระทบภาระหนี้ทั้งหมดทั้งหนี้ภาครัฐและหนี้ของเอกชน ซึ่งจะปัญหาในอนาคตที่หนักหนาสาหัสอย่างมาก
2.ราคาไฟฟ้าที่จะต้องขึ้นราคาและแพงขึ้นอีก หลังจากขึ้นเป็นหน่วยละ 4.72 บาท ในเดือน ก.ย.นี้ เพราะ กฟผ. ยังมีหนี้ค้างอยู่ประมาณ 2 แสนล้านบาท จากการบริหารเชื้อเพลิงที่ผิดพลาด และการจ่ายค่าความพร้อมที่สูงเกิน ซึ่งจะกระทบความสามารถแข่งขันของไทยได้เพราะราคาไฟฟ้าของไทยจะสูงกว่าของเวียดนามมาก นอกจากนี้ราคาน้ำมันเริ่มกลับมาขึ้นอีกครั้ง รวมถึงราคาก๊าซหุงต้มด้วย
3.อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูง ราคาสินค้าเรียงหน้ากันปรับขึ้นราคา แม้กระทั่ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และ ไข่ไก่ เป็นต้น ในขณะที่รายได้ของประชาชนไม่เพิ่ม ซึ่งจะส่งผลต่อ คนจะลำบากกันมาก ค่าแรงที่ขึ้นไม่พอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังตำ่กว่าที่พรรคพลังประชารัฐหาเสียงที่ วันละ 400-425 บาทอย่างมาก
4.การขาดดุลการคลังและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดพร้อมกัน หรือที่เรียกว่า Twin Deficit ทั้งนี้เพราะการส่งออกของไทยเริ่มแผ่ว โดยเดือนกรกฎาคม การส่งออกของไทยขยายได้เพียง 4.3% ทำให้ไทยขาดดุลการค้า เดือน ก.ค.2565 ถึงมูลค่า 3,660.5 ล้านดอลลาร์ และโดย 7 เดือนขาดดุลการค้ามีมูลค่าถึง 9,916.3 ล้านดอลลาร์ หากการท่องเที่ยวไม่เพิ่มเท่าที่ควร โอกาสไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะมีสูงซึ่งจะทำให้ Twin deficit ที่เป็นสัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจ
ปัญหา 4 เรื่องนี้ จะเกินมือที่รัฐบาลจะแก้ไขได้ และจะสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาขนอย่างมาก จะบอกว่า ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่ได้เล้ว 8 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ และเครือข่าย ล้มเหลวอย่างมาก อย่าพยายามดื้อรั้นต่อไปอีกเลย ประชาชนจะยิ่งจะลำบากกันอย่างมาก ไม่ไหวอย่าฝืนครับ โดยพรรคเพื่อไทยพร้อมเข้ามาแก้ไข และได้คิดนโยบายรองรับไว้แล้ว
ไล่กลับไปเลี้ยงหลาน-เป็นนายกฯ โดยมิชอบ!
ขณะที่ นายสุขุมพงศ์ กล่าวว่า จากประวัติศาสตร์การเมืองไทย พล.อ.ประยุทธ์ กำลังทำลายสถิติประเทศไทย เป็นนายกฯ ยืนยาว นานที่สุดเกิน 8 ปี ดังนั้นต้องพอ อย่าอยู่ต่อให้คนทั้งประเทศด่าเลย กลับไปเลี้ยงหลานเถอะ ทั้งนี้ที่มาของการเป็นนายกฯ ก็มิชอบ รัฐธรรมนูญก็มิชอบ เพราะไม่เคยมีรัฐธรรมนูญประเทศไหนที่บอกว่าทำประชามติแล้วคนที่ไม่สนับสนุนต้องติดคุก นอกจากนี้ยังมีคำถามพ่วงเพื่อให้เกิดการปฏิรูป ไปถาม ครม.วันนี้ เชื่อว่ายังไม่รู้เลยว่าแผนปฏิรูปสำเร็จไปกี่เรื่อง แล้วสำเร็จจริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังให้ ส.ว.มีอำนาจเลือกนายกฯ แถมยังมีอำนาจมากกว่าผู้แทนราษฎร สามารถพิจารณากฎหมายไปพร้อมสภาฯ ถือเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญและประเทศไทยด้วย ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกทำกัน เพราะทำงานไม่สอดคล้องกับระบบประชาธิปไตย ประชุมสภาฯ ทีไร มีโอกาสล่มถึง 50% เพราะกล้วยจะหมดสวน พอค่ำๆ ส.ส.หลายคนมีภารกิจ ส่วน ส.ว.มีอีกสถานะหนึ่งคือผู้สูงวัย อายุ 60 ปีขึ้นไปทั้งนั้น สองในสามเป็นข้าราชการทหาร พอตกเย็นก็หายหมด รัฐสภาจึงมีปัญหาเรื่ององค์ประชุม

ขณะนี้ปัญหาข้าวยากหมากแพงเกิดขึ้นไปทั่ว ชาวบ้านเดือดร้อนกันหมด ส่วนปัญหายาเสพติดก็ราคาถูกมาก หาซื้อได้ง่าย ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นของไทยขึ้นลำดับสูง เพราะมีรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในตอนแรก รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย สมาชิกรัฐสภาที่อ่อนด้อยในการทำหน้าที่ ส่งผลไปถึงการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้น 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพอได้แล้ว.