จากกรณี พระปัณณฑัต ภครเมธานนท์ หรือ มหาบอย อายุ 35 ปี พระพี่เลี้ยง พาผู้ปกครอง และ ด.ช.เอ นามสมมุติ อายุ 14 ปี พร้อมด้วย สามเณรบี นามสมมุติ อายุ 14 ปี เข้าแจ้งความเอาผิด รองเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง ใน อ.เมือง จ.อุดรธานี ที่ล่วงละเมิดทางเพศ ทั้งข่มขืนทางทวารหนัก และอมนกเขา รวม 3 ครั้ง เหตุเกิดช่วงเดือนตุลาคม 64-ตุลาคม 65 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. พระปลัดบุญญฤทธิ์ ปุญญสาโร หรือ “พระปลัดตี๋” รองเจ้าอาวาสวัดธรรมศิริบัณฑิต บ้านหนองฮาง ต.เชียงพิณ อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นพระที่ถูกแจ้งความเอาผิด ได้เปิดเผยว่า ตนบวชและจำพรรษาอยู่วัดนี้ 10 พรรษา ไม่เคยจับเงิน เพราะมีคณะกรรมการวัดเป็นผู้ดูแล ขณะที่ “มหาบอย” สามเณร และเด็ก ทั้งหมดเคยอยู่วัดนี้มาก่อน แต่หลังจากตนสร้างศาลาการเปรียญเสร็จ จึงออกไปจำพรรษาที่วัดบ้านข่า อ.กุดจับ จ.อุดรธานี เพราะเป็นความเชื่อของชาวอีสาน หากสร้างโบสถ์ วิหาร หรือศาลาเสร็จ คนสร้างต้องไปอยู่ที่อื่นก่อนพอครบ 1 พรรษา ชาวบ้านได้ไปนิมนต์ให้ตนกลับมา ตนจึงให้มหาบอย ไปจำพรรษาแทน โดยมีสามเณรเอ และบี ไปจำพรรษาด้วย

พระปลัดตี๋ เล่าต่อว่า หลังจากให้ พระมหาบอย ไปอยู่ที่วัดบ้านข่า ตนก็เดินทางไปมาหาสู่ และไปรับกฐินด้วย ทำให้พระมหาบอยไม่พอใจ เพราะอยากเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านข่า จึงได้ต่อว่าตนว่า จะกลับมายุ่งที่วัดบ้านข่าอีกทำไม และสุดท้ายด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ตนจึงบอกว่าแล้วแต่ผู้ใหญ่บ้านจะตั้งใครเป็นเจ้าอาวาส ตนไม่ยุ่งเกี่ยว แต่คณะสงฆ์ไม่แต่งตั้งมหาบอยเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านข่า มหาบอยเชื่อว่าตนอยู่เบื้องหลัง หลังจากนั้นไม่นาน สามเณรเอ ก็ขอกลับมาอยู่ที่วัดธรรมศิริบัณฑิต เพราะโดนมหาบอยไล่กลับมา ต่อมาตนสามเณรเอ ได้เข้าไปพัวพันยาเสพติด ครอบครองและเสพยาบ้า ตนจึงจับสึก ทำให้แม่สามเณรเอมาต่อว่าตนในวัด ต่อหน้าญาติโยมหลายคน แล้วทั้งสองก็พาสามเณรมาแจ้งความว่า ตนล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งตนบอกได้คำเดียวว่า “….โดนกลั่นแกล้ง…”

หากผลพิสูจน์ออกมาว่า ตนไม่ได้ล่วงละเมิดสามเณรแล้วนั้น จะแจ้งความกลับหรือไม่นั้น ตามหลักพุทธศาสนาจะให้โอกาสคน สอนคนให้เป็นคนดี เวรต้องระงับไม่จองเวร ใครจะฟ้องก็ฟ้องไป ใครจะทำอะไรก็ทำไป หากอาตมาไปจองล้างจองผลาญ มันก็ไม่จบไม่สิ้น ชาตินี้คงเป็นนี้ แบบชาติหน้าก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกัน ต้องนำมาแก้กัน หากสู้กันไปมา ก็จะทำให้ญาติโยมเสื่อมศรัทธา จากปัญหาส่วนตัวกลายเป็นปัญหาส่วนรวม ศาสนาพุทธก็มีแต่คนจ้อง พระสงฆ์เป็นตัวการ ทำให้ชาวบ้านแตกแยกกัน ทำให้วัดหรือศาสนาเสื่อม เพราะปัจจุบันข่าวเกี่ยวกับศาสนาก็มีมาก อาตมาก็บวชพรรษามามากพอสมควร สร้างอะไรก็มามาก ก็ประจักษ์ในสายตาต่อญาติโยม อาตมาก็ยอมรับสิ่งเกิดในชะตากรรม หากแก้ไปแล้ว พ้นข้อกล่าวหาก็จบ ให้เป็นไปตามกระบวนการ ก็แปลกใจเหมือนทำไมถึงมีข่าวออกไปแบบนี้

ขณะที่สามเณรเอก (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี เล่าว่าเคยรู้จักกันและสนิทกันกับ ด.ช.เอ ตอนมาบวช หลังลาสึกออกไปก็ไม่ได้ติดต่อกัน จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้น จากที่รู้จัก รู้สึกว่าจะเป็นคนที่สติสัมปชัญญะไม่ค่อยดี เพราะเสพยาทำให้สมองไม่ดี ที่ผ่านมาเคยเสพยาให้ตนเห็นด้วย และตนคิดว่าเรื่องที่พากันไปแจ้งความนั้นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะท่านพระอาจารย์บวชมานาน 10 พรรษาแล้ว ในเรื่องกำหนัดนั้น ท่านก็คงไม่มี เพราะตั้งแต่อยู่กับท่านมา ก็ไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้ หรือถูกกระทำล่วงละเมิดอย่างที่ว่าเลย และมีชาวบ้านเคารพนับถือ เลื่อมใสศรัทธา เพราะท่านเป็นพระที่ชอบสร้างวัดมา 3-4 แห่ง อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้น ตนก็อยากให้มาขอโทษพระอาจารย์ เพราะทำให้ญาติโยมขาดความเลื่อมใสศรัทธาท่าน และสร้างความแตกแยกให้กัน เรื่องก็จะได้จบ

“…หากพระอาจารย์ทำจริง ก็ให้นำหลักฐานมาแสดงมาพูด ว่ามีจริงหรือไม่ ตั้งแต่ตนมาอยู่กับท่าน ก็ไม่เคยเห็นท่านมีพฤติกรรมอย่างที่ว่า เพราะอยู่กันแบบลูกศิษย์ครูบาอาจารย์ เคยบวชสามเณรและอยู่กับท่านมา 4 ปี ก่อนลาสิกขาไป 1 ปีกว่า ก่อนที่พระอาจารย์จะดึงให้ตนมาบวชอีก และตั้งแต่บวชมา ก็ไม่เคยโดนท่านล่วงละเมิดอย่างที่ว่าเลย ส่วนอดีตสามเณร และสามเณร ที่ไปแจ้งความนั้น เพิ่งมาบวชในปีนี้…”

ด้าน นายปราณี ชาวกะมุด อายุ 61 ปี คณะกรรมการวัด เปิดเผยว่า เณรที่ไปแจ้งความเคยถูกพระปลัดตี๋ให้สึกและออกไปจากวัด เพราะไปมั่วสุมยาเสพติดแล้วทำให้แม่ไม่พอใจ ก็เลยมาหาเรื่องใส่พระ เมื่อเช้าตนได้ไปสอบถามพระปลัดถึงพฤติกรรม เพราะไม่เคยเห็นมีพฤติกรรมแบบนี้ พระปลัดบวชมานานแล้ว เป็นพระนักพัฒนา ไม่ค่อยเป็นพระปฏิบัติ ซึ่งตนไม่เชื่อเลยว่า พระปลัดจะมีพฤติกรรมแบบนี้ ถ้ามารู้ว่าพระปลัดเป็นแบบนี้ ตนจะไม่ขอเป็นกรรมการวัดเลย ตนเชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้ง เพราะพระมหาบอยเคยมาจำวัดที่นี่ ส่วนพระปลัดได้สร้างศาลาเสร็จแล้วเลยขอย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอื่นตามประเพณีความเชื่อของชาวอีสาน ต่อมาให้พระมหาบอยอยู่ไปอยู่แทน แล้วก็กลับมาอยู่วัดเดิม จึงอาจจะทำให้พระมหาบอยไม่พอใจก็ได้

ขณะที่ นายมนัส แก้วสีดา ผู้ใหญ่บ้านหนองฮาง หมู่ 4 เล่าว่า สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ตนว่าเป็นการกล่าวหากัน ต้องมีหลักฐานและพยาน จะมากล่าวหากันลอย ๆ ไม่ได้ เพราะตนในฐานะผู้ใหญ่บ้านก็เป็นคนกลาง ต้องมีพยานบุคคล หลักฐานต่าง ๆ ถ้าไม่มีพยานหลักฐานก็จะเกิดความเสียหาย วัดบ้านของตนจะเสื่อมเสีย ตนก็ไม่อยากให้มีการกล่าวหาถ้าไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าหากเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจริง ผู้ที่กล่าวหาจะต้องรับผิดชอบ หลังจากที่มีการแจ้งความ ตนก็ได้เข้าไปคุยกับพระปลัดตี๋แล้ว โดยพระบอกว่า ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน เพราะทางเจ้าหน้าที่หน่วยงานก็ต้องมาสอบข้อเท็จจริง ถ้าผิดตามที่กล่าวหา ทางพวกตนก็ไม่ว่ากัน ตนก็ยึดความถูกต้อง ตอนนี้ยังถือว่าพระอาจารย์ยังไม่มีความผิด ยังเป็นผู้บริสุทธิ์.