เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ม.ค. ที่ห้องคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะประธานกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงวิชาการ “ลดความเสี่ยงเดิม ป้องกันความเสี่ยงใหม่ สู่สังคมเท่าทันภัยด้วยแผน ปภ.ชาติ” สร้างการรับรู้และความเข้าใจในแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570 เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนกลไกการจัดการความเสี่ยง จากสาธารณภัยตามแผน ปภ.ชาติฉบับใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ร่วมในพิธีเปิดฯ และกล่าวปาฐกถาพิเศษ ทั้งนี้ มีคณะกรรมการ ปภ.ชาติ ผู้ประสานงานด้านการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัยจากทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม องค์กรการกุศล สื่อมวลชน และภาคีเครือข่าย กว่า 500 คน ร่วมรับมอบนโยบายการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยของประเทศ
โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการจัดการสาธารณภัยที่เป็นเอกภาพและมีมาตรฐาน เพื่อสร้างความปลอดภัยอย่างยั่งยืนแก่ประชาชนชาวไทย ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ รวมถึงแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติแผน ปภ.ชาติ ฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2565 โดยแผนฉบับนี้ถือเป็นกรอบแนวคิดหลักในการบริหารจัดการสาธารณภัยของประเทศไทย ภายใต้แนวคิดการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยแบบอัจฉริยะ ที่มุ่งเน้นการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัยตามหลักสากลและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ครอบคลุมวงจรการเกิดสาธารณภัยในทุกมิติ โดยที่ประชุม ครม.ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนฯ และจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับการขับเคลื่อนในแผนปฏิบัติราชการประจำปี รวมถึงให้สำนักงบประมาณและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสรรงบประมาณสำหรับดำเนินการจัดการสาธารณภัยตามแผนฯ ซึ่งได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแนวทางการจัดการสาธารณภัยภายใต้แผน ปภ.ชาติฉบับใหม่ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างประเทศไทยให้มีความมั่นคงอย่างปลอดภัยและยั่งยืน.