เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ร.ต.อ.ธีรพงษ์ เดชอัมพรภิญโญ รองสารวัตรเวรสอบสวน สภ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี รับแจ้งจาก นายจุมพล ดวงสีทา กำนัน ต.นาแขม อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ว่าพบเห็นพระสงฆ์ออกเรี่ยไรเงินชาวบ้าน โดยมีการนั่งรถกระบะไปตามพื้นที่ต่าง ๆ จากนั้นก็จะกลับมายัง สำนักปฏิบัติธรรมแสงธรรมรัก ซึ่งได้ถูกสั่งปิดไปแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวได้ทราบไปถึง นางวัชราภรณ์ แตงหมี นายอำเภอกบินทร์บุรี จึงได้มอบหมายให้ เรืออากาศโทภรสิทธิ์ จิตรามวงศ์ ปลัดอำเภออาวุโส ลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับตำรวจ กำนันผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน พร้อมประสานไปยังเจ้าคณะอำเภอกบินทร์บุรี ซึ่งมอบหมายให้ พระอธิการอมร กะตะธัมโม เลขาเจ้าคณะตำบลนาแขม เข้าตรวจสอบสำนักปฏิบัติธรรมดังกล่าว

จากการตรวจสอบพบกลุ่มพระสงฆ์ 8 รูปฆราวาสทั้งชายและหญิง 12 คน รถยนต์จำนวน 6 คัน พบขวดเหล้าและเบียร์ที่กินหมดแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งพระสงฆ์ปฏิเสธว่าไม่ได้ดื่มเหล้า และน่าจะเป็นของฆราวาสซื้อมากินเอง พระเลขาได้ตรวจสอบใบสุทธิของพระสงฆ์ดังกล่าวไว้ตรวจสอบ ซึ่งพระสงฆ์ที่อยู่ในสำนักกล่าวว่าเป็นพระสงฆ์จริงและถูกนิมนต์ให้นั่งไปกับรถ เพื่อออกเรี่ยไรตามพื้นที่ต่าง ๆ จริง และจะยินยอมออกจากพื้นที่เพราะไม่รู้มาก่อนว่าสำนักแห่งนี้ถูกปิด เมื่อถูกนิมนต์มาก็มาตามคำนิมนต์ของพระด้วยกัน ซึ่งบอกว่าพักอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ การออกเรี่ยไรแต่ละครั้งจะมีรายได้วันละประมาณ 3,000 บาทเศษ แต่ไม่มีใครยอมรับว่าเงินจำนวนดังกล่าวที่ได้ออกเรี่ยไรแต่ละวันนั้นอยู่ที่ใดใครเป็นคนเก็บ และยังยอมรับอีกว่าได้ปัจจัยมาก็จะนำไปซื้อกับข้าวมากินภายในสำนักปฏิบัติธรรม ตำรวจจึงนำตัวมาเปรียบเทียบปรับที่สภ.กบินทร์บุรี

ด้าน นายชุมพล กล่าวว่า พระสงฆ์และกลุ่มบุคคลเข้ามาอาศัยอยู่หลายเดือนแล้ว จึงได้ให้เฝ้าดูความเคลื่อนไหว หลังจากที่สืบทราบแน่ชัดแล้วว่ากลุ่มพระสงฆ์และบุคคลดังกล่าวติดป้ายรถออกเรี่ยไรตามพื้นที่ต่าง ๆ จริง จึงประสานหน่วยงานมาควบคุมตัวไปสอบสวน โดยทุกคนยอมรับว่าเพิ่งมาอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรม อ้างว่ามีคนบอกให้นำรถมาวิ่ง บอกบุญเรี่ยไรสมทบทุนสร้างพระอุโบสถกลางน้ำ ศูนย์วิปัสสนาวัดสว่างอารมณ์ ป่าเช้าโคกหอม ต.เมืองเก่า อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี แต่พอติดต่อสอบถามไปยังเจ้าอาวาส ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ทราบเรื่อง ขอให้ดำเนินการไปตามกฎหมายได้ทันที

“…การออกเรี่ยไรของกลุ่มพระสงฆ์และฆราวาสกลุ่มนี้ ไม่มีใครบอกได้ว่าเงินเรี่ยไรทั้งหมดเท่าไร แต่รับว่าได้วันละไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท เงินที่ได้ก็เอาไปใช้จ่ายกันเอง อยากให้ทางสำนักพุทธหรือพระสงฆ์ที่ดูแลเรื่องเหล่านี้ เข้ามาดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพื่อไม่ให้มาอาศัยศาสนาหากินแบบนี้ต่อไป…” นายชุมพล กล่าว.