มาเตโอ เรเตกี เปิดตัวกับ ทีมชาติอิตาลี ได้อย่างร้อนแรง หลังพังตาข่ายได้ 2 นัดติดต่อกัน ในศึกยูโร 2024 รอบคัดเลือก นัดแพ้ อังกฤษ 1-2 และชนะ มอลตา 2-0 ซึ่งเป็นการลงสนาม 2 นัดแรก ในสีเสื้ออัซซูรีของเขา
เรเตกี เกิดในอาร์เจนตินา และไม่เคยใช้ชีวิต หรือ ลงเล่นในอิตาลี แถมยังพูดภาษาอิตาเลียนไม่ได้เลย แต่สามารถลงเล่นให้ทีมเมืองมะกะโรนีได้ เพราะคุณปู่มีเชื้อสายอิตาเลียน
ปัจจุบัน ดาวยิงวัย 23 ปี ลงเล่นให้ คลับ แอตเลติโก ติเกร ด้วยสัญญายืมตัวจาก โบคา จูเนียร์ส และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยกระหน่ำไปถึง 29 ประตู จากการลงเล่น 51 นัด และยิงไปแล้ว 6 ประตู จาก 8 นัด ในฤดูกาลนี้
จากฟอร์มอันร้อนแรงดังกล่าว ทำให้ โรแบร์โต มันชินี กุนซือทีมชาติอิตาลี ไม่ลังเลที่จะเรียก เรเตกี มาติดธงเพื่อแก้วิกฤติในแนวรุก หลังดาวยิงขาประจำอย่าง ชิโร อิมโมบิเล ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ จานลูกา สกามัคกา ฟอร์มตกจนกลายเป็นแค่ตัวสำรองอดทนกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
เพื่อให้ได้ เรเตกี ซึ่งเคยลงเล่นให้ทีมเยาวชนของอาร์เจนตินามาแล้วนั้น มาเป็นลูกทีม “มันโช” ถึงกับต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเอง หลังจากเคยยืนยันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า นักเตะที่จะลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลี ควรจะเกิดในอิตาลีเท่านั้น
เรเตกี มาจากครอบครัวนักกีฬา โดย คาร์ลอส เรเตกี บิดาของเขาเคยเป็นนักกีฬาฮอกกี้ทีมชาติอาร์เจนตินา และเคยผ่านกีฬาโอลิมปิกมาถึง 3 สมัย ขณะที่ตัวเขาก็เคยเล่นกีฬาประเภทนี้ สมัยยังเด็กเช่นกัน
จากการพังประตูได้ 2 นัด ติดต่อกันในยูโร 2024 รอบคัดเลือกทำให้ เรตากี ถูกจารึกชื่อเอาไว้ในฐานะนักเตะคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ที่ยิงประตูได้ใน 2 เกมแรก ที่ลงประเดิมสนามให้ทีมชาติอิตาลี
นอกจากนี้ มันยังทำให้เขากลายเป็นนักเตะเนื้อหอมขึ้นมาทันที เมื่อ คอร์ริเอเร เดลโล สปอร์ต สื่อดังของอิตาลี รายงานว่า ไบรท์ตัน และ คริสตัล พาเลซ 2 สโมสรในพรีเมียร์ลีก กำลังให้ความสนใจที่จะดึง เรเตกี มาเสริมแนวรุก
ทว่าเต็งจ๋าที่น่าจะได้ลายเซ็นของ เรเตกี ไปครอบครอง กลับเป็น อินเตอร์ มิลาน ที่ส่ง ดาริโอ บัคชิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร บินไปดูฟอร์มของ หัวหอกฟอร์มฮอตรายนี้ ด้วยตัวเองในเกมที่ อิตาลี บุกทุบ มอลตา เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
เชื่อเหลือเกินว่า หากยังคงรักษาฟอร์มอันร้อนแรงอย่างนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ หัวหอกที่ไม่เคยอาศัยอยู่ในอิตาลี แถมยังพูดภาษาอิตาเลียนไม่ได้เลยรายนี้ น่าจะกลายเป็นหนทางแก้ปัญหาระยะยาวในแนวรุก ให้ทั้ง มันชินี และทีมชาติอิตาลี ในภารกิจล้างอายจากการไม่สามารถคว้าตั๋วไปลุยฟุตบอลโลก 2022 ได้อย่างแน่นอน.
ภาพ REUTERS, อินสตาแกรม @mateoretegui
