สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ว่า กองทัพฟิลิปปินส์และกองทัพสหรัฐเปิดฉากปฏิบัติการซ้อมรบร่วมประจำปีในชื่อ “บาลิกาตัน” หรือ “เคียงบ่าเคียงไหล่” เมื่อวันอังคาร โดยการฝึกซ้อมจะใช้เวลานานประมาณ 3 สัปดาห์ โดยทั้งสองประเทศส่งทหารเข้าร่วมการฝึกซ้อมรวมกันประมาณ 17,000 นาย ถือเป็นการซ้อมรบบาลิกาตัน ซึ่งมีทหารเข้าร่วมมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่การฝึกซ้อมครั้งแรก เมื่อปี 2534


สำหรับการซ้อมรบบาลิกาตันครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 38 จะเป็นครั้งแรกด้วย ที่จะมีการฝึกซ้อมตามแนวชายฝั่งแบบใช้กระสุนจริง โดยสหรัฐยืนยันว่า ภารกิจบาลิกาตันปีนี้ “เกิดขึ้นตามแผนการที่กำหนดไว้ล่วงหน้านานแล้ว”

พิธีเปิดการซ้อมรบร่วมประจำปีระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐ “บาลิกาตัน” ครั้งที่ 38 ที่ฐานทัพในเมืองเกซอนซิตี ประเทศฟิลิปปินส์


อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจีนวิจารณ์ว่า เป็นสถานการณ์ซึ่งเกิดขึ้น “อย่างประจวบเหมาะ” เนื่องจากกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (พีแอลเอ) เสร็จสิ้นการฝึกซ้อมรบรอบเกาะไต้หวัน “อย่างเป็นทางการ” เป็นเวลา 3 วัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา


ขณะเดียวกัน รัฐบาลปักกิ่งเรียกร้องการซ้อมรบร่วมระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐ “ต้องไม่ใช่การแทรกแซงความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ และไม่รุกล้ำอธิปไตย สิทธิทางทะเล และผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีน”

ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฟิลิปปินส์ประกาศรายชื่อฐานทัพ 4 แห่ง ซึ่งจะให้สหรัฐเข้าถึงเพิ่มเติม ภายใต้ข้อตกลงส่งเสริมความร่วมมือด้านกลาโหม (อีดีซีเอ) ซึ่งรัฐบาลมะนิลาลงนามร่วมกับรัฐบาลวอชิงตัน เมื่อปี 2547 และจะทำให้สหรัฐสามารถเข้าถึงฐานทัพของฟิลิปปินส์เป็นอย่างน้อย 9 แห่งแล้ว


สำหรับฐานทัพที่สหรัฐได้รับสิทธิเพิ่มเติม ได้แก่ ฐานทัพ “คามิโล โอเซียส” ตั้งอยู่ที่เมืองซันตา อนา และสนามบิน “ไล-โล” ตั้งอยู่ในจังหวัดคากายัน ทางเหนือสุดของเกาะลูซอน ฐานทัพ “เมลชอร์ เดอลา ครูซ” ที่เมืองกามู ในจังหวัดอีซาเบลา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะลูซอน และฐานทัพ “บาลาบัก” บนเกาะปาลาวัน อยู่ทางตะวันตกตอนกลางของประเทศ


อนึ่ง พื้นที่ทางเหนือสุดของเกาะลูซอน ซึ่งอยู่ใกล้กับเกาะไต้หวันมากที่สุด และเกาะปาลาวันที่อยู่ทางตะวันตก ใกล้กับหมู่เกาะสแปรตลีย์ หนึ่งในพื้นที่พิพาททางยุทธศาสตร์ของทะเลจีนใต้ เป็นพื้นที่ซึ่งสหรัฐต้องการเข้าถึงมากที่สุด ตามกรอบข้อตกลงอีดีซีเอกับฟิลิปปินส์.

เครดิตภาพ : REUTERS