เรียกได้ว่าหน้าตาดีทั้งบ้าน สำหรับครอบครัวของ ทนงศักดิ์ ศุภการ นักแสดงอาวุโส ที่มากด้วยฝีมือ ที่นอกจากบทบาทในการแสดงจะทำให้ทุกคนรู้จักแล้ว แต่อีกหนึ่งภาพจำคือนักวิ่ง ส่วนอีกมุมหนึ่งที่หลายคนยังไม่รู้ เพราะเขาคือคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว สูญเสียภรรยาไปด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่ปี 48 และล่าสุดก็ได้พาลูกชายลูกสาว ปัญญ์ ปัญญ์เพชร/เปี่ยม เปี่ยมรัก มาออกรายการคุยแซ่บShow เผยอีกมุมของพ่อที่ต้องเลี้ยงลูก 3 คน ที่แตกต่างกันมาก 

ทนงศักดิ์ เผยว่า “ผมเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวมาก็ตั้งแต่คุณแม่เขาเสียตั้งแต่ปี 48 แต่พอคุณแม่เริ่มป่วยตอนปี 45 ก็เริ่มเลี้ยงแบบจริงจังตั้งแต่ตอนนั้น เพราะให้คุณแม่เขาได้ดูแลสุขภาพเต็มที่ เพราะป่วยเป็นมะเร็งที่ไขกระะดูก เป็นระยะที่ 3 มะเร็งเริ่มเป็นไม่มีอาการนะ แต่เขาเริ่มปวดหลังมาเดือนกว่าๆ ก็เลยตรวจเจอ ส่วนมากคนที่เจอมะเร็งขั้นต้น ก็เพราะว่าไปตรวจสุขภาพเลยเจอ อย่านิ่งนอนใจ และเราก็จำโมเมนต์ได้ ตอนเขาโทรฯ มาบอกเราว่าเขาเป็นมะเร็ง และวันนั้นเรากำลังจะเข้าฉาก เราก็บอกว่าขอไม่เล่นแล้ว เพราะว่าภรรยาตรวจพบมะเร็ง เรารีบมาจากกองไปหาเขา เราเปิดประตูเข้าไป เห็นเขานอนรอ เราเห็นสายตาของเขา เรายังจำภาพวันนั้นได้เลย สายตาบอกว่าฉันไม่เป็นไร แต่มันคือเป็นแล้วไง เขาพยายามเก็บความรู้สึก เราก็เดินเข้าไปจับมือ โมเมนต์คนที่เป็นคู่เรา เขาต้องการกำลังใจมากที่สุด ไม่เป็นไร ทุกคนตกใจหมด คนที่ถูกบอกว่าเป็นมะเร็ง ถูกตัดสินไปแล้วว่ามึงต้องตาย ไม่มีสิทธิมีชีวิตอยู่ คุณหมอก็ยังไม่ได้บอกว่าเป็นอะไรแน่นอน แต่พอตรวจเจอ จิตมนุษย์มันก็ตก และพอไปตรวจอีก หมอก็บอกว่าเป็นเยอะแล้ว อยู่ไม่เกิน 6 เดือน และการที่หมอบอกแบบนี้ เราก็อย่าไปเชื่อ เราต้องเชื่อตัวเราเอง แต่เรายังไม่ได้บอกลูก เพราะว่าเขายังเล็กอยู่ เราค่อยๆ บอกเขา”

“จาก 6 เดือน ยื้อมาได้ 3 ปี 18 วัน ตอนหมอบอกว่าคุณเป็นมะเร็ง จิตทุกคนตก เพราะประสบการณ์มันสอนเรา อย่างตอนที่เราไฟดูด และบอกว่าแขนใช้ไม่ได้ แต่เราก็ทำจนแขนกลับมาใช้ได้ เราอย่าเพิ่งไปเชื่อ สิ่งที่เขาบอกมา คือแค่การประเมินในส่วนหนึ่ง แต่เราต้องทำให้ดีที่สุดก่อน และวันที่เสียไป เราก็บอกลูกว่าแม่ไม่กลับมาแล้วนะ แม่ไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่แม่ก็ยังอยู่ในใจของเราตลอดไป วันนี้ภรรยาไม่อยู่แล้ว เรายังเคยบอกลูกเลยว่าถ้าเลือกได้ เราขอไปแทน เพราะอยากให้เขาอยู่ดูแลลูกแทนเรา ไม่ใช่ว่าเรารักเขามากจนเรายอมตายแทนเขานะ แต่แค่รู้สึกว่าผู้หญิงคนหนึ่งถ้าดูแลลูก น่าจะดูแลลูกได้ดีกว่าเรา ขาดพ่อเหมือนคอหัก แต่ขาดแม่เหมือนแพแตก เราไม่มีทางดูแลลูกได้ดีกว่าผู้หญิงที่เป็นแม่ เรามีหน้าที่ซัพพอร์ตในเรื่องอื่น แต่พอมันเลือกไม่ได้ เราก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เรียนรู้จากความเป็นแม่ ในการดูแลลูกจากเขา ความรักไม่มีเหตุผล เรื่องการเป็นนักวิ่ง เป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้ว พอใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับความเจ็บป่วยของภรรยา เราเห็นคนป่วยอยู่โรงพยาบาล ไม่มีใครอยากป่วยหรอก และเราก็บอกลูกๆ ว่า เราควรต้องทำนะ เราทำให้เขาเห็น เวลาลูกไปงานศิษย์เก่ากับพ่อ เห็นเพื่อนๆ พ่อ แล้วไม่อยากเป็นแบบนี้ เราต้องคายตะขาบให้เขาก่อน เขามีสุขภาพดี ความล้มเหลวไม่มีอยู่จริง การที่มีสุขภาพดี คือมีอยู่จริง”

ทนงศักดิ์ เล่าต่อว่า “เรื่องลูกตอนนี้ไม่ได้หวงอะไร การใช้ชีวิตของผู้หญิง การมีแฟนได้ไม่ใช่เรื่องผิด อย่างตอนเรียนปีแรกๆ เขากลับตี 3 เราก็รอ เป็นห่วงเขา สุดท้ายเราก็บอกว่า ถ้าเขาต้องท้อง หรือเขาพลาดอะไรขึ้นมา แต่เราแค่เสียดายชีวิตวัยรุ่นของเขาเอง ซึ่งที่เราเข้าใจชีวิตเพราะมันเป็นความจริง ทุกคนก็เคยทำ การที่คนพลาด ไม่ใช่เราต้องซ้ำเติม เราต้องให้โอกาส เราจะบอกเสมอว่า การที่เขาเป็นแบบนี้ คนอื่นเป็นก็เรื่องธรรมดา ผมเองอยากบอกลูกว่าภูมิใจและดีใจที่มีเขาเป็นลูก ที่เขามีวันนี้ ภูมิใจในทุกๆ วันของเขา สำหรับลูก เรามีความสุข เขาเกิดมาครบ แต่วันนี้ถ้าผิดพลาดอะไร ก็มีโอกาสลุกขึ้น แต่อย่าไปทำให้ใครเดือดร้อน” 

ปัญญ์ เผยว่า “วันที่แม่เป็นมะเร็ง จริงๆ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนขนาดนั้น ด้วยวัยตั้งแต่เด็ก เราอยู่กับพ่อ เพราะแม่เอาเราไม่อยู่ เลยถูกส่งไปอยู่กับพ่อ ส่วนผมเป็นคนสร้างเรื่องในบ้าน ผมยอมรับว่าอะไรที่ไม่ดี ผมทำหมดเลยนะ เริ่มตั้งแต่หลังแม่เสีย เราก็เริ่มแล้ว เป็นลูกคนกลาง พี่น้องคือได้ 4 ตลอด ส่วนเราคือไม่เคยถึง 1 เอาแค่ 0.8 ให้ได้ก่อน เราไม่เวิร์กทางนี้นะ แต่คือจริงๆ เราชอบอ่านการ์ตูนเล่นเกม ถ้าเป็นยุคนี้คือมันใช้เป็นอาชีพ แต่ตอนนั้นคือพ่อเลี้ยงลูก 3 คน และหลังจากแม่เสีย มีเหตุการณ์พอแม่เสีย เพื่อนมาล้อเรื่องแม่ และต่อยกัน เราชนะ ทุกคนเห็นว่าเราโอเค มันทางของเรานิ มีคนมาเชิดชูเราในทางนี้ จากขาวไม่ได้ ก็ไปดำเลย ถ้าหนักสุดก็ยาเสพติด สุดโต่งเลย เคยมีเหตุการณ์ในสมัยเด็ก เป็นการทะเลาะวิวาทกัน หลุดไปหน่อยมีอาวุธ เรื่องไปถึงตำรวจ ผู้บาดเจ็บเป็นเด็ก แต่ถามว่าเรากลัวตายไหม เราคิดว่าเราโชคดี พอกลับมามองจากสายตาเราไม่ได้หลุดไปมากขนาดนั้น เราไม่ได้โหดขนาดนั้น เราตีในแบบโรงเรียนเอกชน เราสุดแบบนี้ สิ่งที่ทำให้เราเปลี่ยน เพราะครอบครัว จริงๆ พี่ชายน้องสาว เขาคิดว่าเขาไม่มีส่วนในการช่วย แต่จริงๆ เขามีส่วนมากๆ จริงๆ พ่อพูดมาตลอดตั้งแต่เด็ก เราเริ่มสังเกตว่าทำไมมีคนเข้าหาพ่อเราตลอด มีคนเข้ามาปรึกษาเรื่องการใช้ชีวิต การทำงาน เราอยู่ใกล้เขา แต่ทำไมเราไม่เห็นเรื่องพวกนี้เลย พี่น้องเริ่มมีเงินเดือน แต่เรายังไม่มีอะไร ชีวิตนี้เราไม่เวิร์กแล้ว เราเริ่มหยุดตัวเอง น้องเปี่ยมมาบอกว่า มีอะไรให้ช่วย บอกได้นะ เปลี่ยนมาได้ประมาณ 8 ปีแล้ว”

เปี่ยม เผยว่า “ตอนที่รู้ว่าแม่เป็นมะเร็ง ตอนนั้นเด็กมาก ตอนแม่เจอ เรายังไม่ทราบว่ามะเร็งคืออะไร เราก็เลยไม่ได้ดูแลอะไร แต่เราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เวลาไปเรียนเราก็ตั้งใจเรียนของเราไป ไม่ทราบว่ามะเร็งมันร้ายแรงแค่ไหน และตอนคุณแม่เสียประมาณ ม.5 เรื่องสุขภาพอย่างเราเพิ่งไปตรวจสุขภาพมา แล้วหมอบอกว่าเรามีเซลล์ผิดปกติ เราตกใจมาก และคุณพ่อก็เลยพาไปตรวจอีกโรงพยาบาลหนึ่ง สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีอะไร เป็นแค่เซลล์ผิดปกติ แต่ไม่ได้ลุกลามอะไร เราไปตรวจมะเร็งปากมดลูก และมันมีรอยโรคมะเร็ง คิดดูยายก็เป็น แม่เป็น”