จากเหตุการณ์หลังคาโดมลานอเนกประสงค์ภายในโรงเรียนวัดเนินปอ อ.สามง่าม จ.พิจิตร ล้มทับนักเรียนและผู้ปกครองที่มาเล่นกีฬา หลังเข้าไปเล่นฟุตบอลหลบฝน จนมีลมพายุทำให้โดมหลังคาพังลงมาจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และบาดเจ็บ 18 ราย เมื่อช่วงเย็นเมื่อวาน (22 มี.ค.) ที่ผ่านมา นั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 23 พ.ค. นายพยนต์ อัศวพิชยนต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร นางชุลี อัศวพิชยนต์ นายกเหล่ากาชาติจังหวัดพิจิตร นายแพทย์วิศิษย์ อภิสิทธิ์วิทยา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร ได้เดินทางไปเยี่ยมและตรวจดูอาการของผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กที่นอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.พิจิตร รพ.สามง่าม รพ.วชิรบารมี และ รพ.เอกชน พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เสียชีวิต รายละ 29,700 บาท โดยหากเป็นหัวหน้าครอบครัวก็จะจ่ายเพิ่มอีกรายละ 29,700 บาท ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บจะได้รับการช่วยเหลือ 4,000 บาทต่อราย กรณีรักษาตัวนานเกิน 3 วัน

นายพยนต์ กล่าวว่า ทาง จ.พิจิตร ได้ประกาศให้พื้นที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ เพื่อจะได้นำงบประมาณมาช่วยเหลือประชาชน เพราะนอกจากเหตุที่เกิดที่โดมโรงเรียนแล้ว ยังมีบ้านเรือนประชาชนอีกกว่า 100 หลังคาเรือน ได้รับความเสียหายจากวาตภัยที่เกิดขึ้น พร้อมตั้งศูนย์ขอรับความช่วยเหลือจากภาคเอกชน เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อไป พร้อมสั่งการให้ทางเจ้าหน้าที่โยธาธิการและฝังเมืองพิจิตร พร้อมด้วยตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบโดมหลังคาอาคารเอนกประสงค์ ที่พังลงมาทับจนมีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นจะนำข้อมูล จากการตรวจสอบเข้ารายงานถึงความแข็งแรงขอโครงสร้างที่สร้างขึ้นเองจากเงินที่บริจาค

นายพยนต์ กล่าวต่อว่า ในช่วงนี้จะเกิดพายุฝน จึงอยากเตือนประชาชน ให้ระมัดระวังอันตราย โดยขอให้ประชาชนป้องกันภัย ในพื้นที่ที่ปลอดภัยหากเกิดพายุ โดยทาง จ.พิจิตร สั่งให้หน่วยงาน ตรวจสอบ อาคาร โครงสร้างทั้งหน่วยงานราชการ และเอกชน ให้มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันเหตุซ้ำ

ส่วน นายแพทย์วิศิษย์ อภิสิทธิ์วิทยา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า ในส่วนผู้เสียชีวิต มีทั้งหมด 7 ราย และ ล่าสุดมีผู้ประสบเหตุเข้ารักษาตัว 8 ราย ที่ รพ.พิจิตร 5 รายและ รพ.สามง่าม 3 ราย ซึ่งอาการทั้งหมด 8 รายพ้นขีดอันตราย มีเพียงผ่าตัดแขนที่ถูกโครงสร้างเหล็กทับ

ขณะที่ นายสุรศักดิ์ พรมศรี หนึ่งในชาวบ้านที่เข้ามาพบเหตุการณ์ในครั้งแรก พร้อมถ่ายคลิปวิดีโอในที่เกิดเหตุ เล่าว่า ในช่วงที่ฝนตก ทีมฟุตบอลเนินปอจูเนียร์ได้ย้ายเขามาเล่นฟุตบอลในโดมอาคาร จากนั้น จึงพังลงมาทับเด็กนักเรียน และทีมงานฟุตบอล รวมถึงผู้ปกครอง ซึ่งตอนที่มาพบ มีผู้ได้รับบาดเจ็บนอนเกลื่อน ตนมองว่า โครงสร้างของโดมอาคาร ไม่แข็งแรง ตั้งแต่เริ่มสร้าง โดยเฉพาะฐานรากจึงทำให้เกิดความเสียหายจากแรงลมพัดจนพัง

ทางด้าน นางปาริฉัตร คุ้มประดิษฐ์ ผู้ประสบภัยที่รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด กล่าวว่า ตนได้ให้ นายนที คุ้มประดิษฐ์ สามี ไปดูลูกชาย เนื่องจากได้ยินข่าวว่าจะมีลมพัดมาและมีฝนตก โดยตนก็ตามไปทีหลัง โดยระหว่างเกิดเหตุได้มีลูกเห็บตกลงมา และมีฝนตกโปรยปราย แต่ฟ้ายังแจ้งอยู่ โค้ชจึงให้เด็กๆ ไปซ้อมในโดม เพราะคาดว่าฝนน่าจะตกไม่นาน แต่หลังจากนั้นก็เกิดลมพัดอย่างรุนแรงและตนก็หมดสติไปมารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่ รพ. แล้ว โดยตอนนั้นยังคิดว่าสามีน่าจะมานอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ด้วยกัน แต่มาทราบทีหลังว่าได้เสียชีวิตไปแล้ว

ในขณะที่ ด.ช.ธนกร คุ้มประดิษฐ์ วัย 8 ขวบ ซึ่งได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือ ได้เปิดเผยว่า ทีมฟุตบอลของตนชื่อทีม เนินปอจูเนียร์ กำลังจะไปทำการแข่งขันที่ จ.กำแพงเพชร ในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ โดยตนเล่นเป็นกองกลาง มีนักฟุตบอลที่เป็นไอดอล คือ เจ ธนาธิป สำหรับนักฟุตบอลของทีมเนินปอ จูเนียร์ ประกอบด้วยนักเรียนจากหลายโรงเรียนในเขต อ.สามง่าม มีโรงเรียนรังนกเนินปอราชอุทิศ โรงเรียนวัดเนินปอ โรงเรียนบ้านเนินพะยอม โรงเรียนสระยายชีมิตรภาพที่ 79 มีอายุระหว่าง 6-13 ปี มีนักฟุตบอลในทีม 16 คน มีโค้ช 1 คน ส่วนผู้ช่วยโค้ชก็แล้วแต่ว่าผู้ปกครองคนไหนจะว่าง โดยใช้สนามโรงเรียนวัดเนินปอ ที่เกิดเหตุเป็นสนามฝึกซ้อม

สำหรับโดมหลังคาลานอเนกประสงค์ ขนาดความยาว ประมาณยาว 30 เมตร กว้าง 20 เมตร สูง 15 เมตร ได้ก่อสร้างจากเงินบริจาค ที่รวมกันสร้างมากว่า 5 ปี จนเกิดพังถล่มจากลมพายุ จึงทำให้มีผู้เสียชีวิต รวม 7 คน คือนายดัง อ่องแดง นักการภารโรงโรงเรียนวัดเนินปอ นายนที คุ้มประดิษฐ์ ผู้ปกครองนักเรียน โค้ชผู้ฝึกสอนฟุตบอล และอีก 5 ราย เสียชีวิตที่โรงพยาบาล คือ นางวันเพ็ญ จันทร์มล ผู้ปกครองนักเรียน, ด.ช.วัชรากร พันวัน อายุ 7 ปี, ด.ช.ศุภศิน สิงห์จันทร์ อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนเนินปอรังนกชนูทิศ, ด.ช.วัชรากร พันวัน อายุ 7 ปี และรายล่าสุดที่เสียชีวิตเพิ่มในช่วงดึกที่ผ่านมา คือ ด.ช.โพธิวัฒน์ บางแดง อายุ 6 ปี ขณะนี้ได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือชั่วคราวให้ประชาชนได้รับแจ้งความเสียหาย โดยเบื้องต้นพบบ้านเรือนประชาชน ใน 4 หมู่บ้าน กว่า 100 หลังคาเรือน ได้รับความเสียหาย ซึ่งทางหน่วยงานจะช่วยเหลือบ้านเรือน และผู้เสียชีวิตตามหลักเกณท์ของหน่วยงานราชการต่อไป.