หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ประกาศเมื่อวันที่ 1 ก.ค.66 พร้อมลาออกจากตำแหน่ง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ระบุว่าเป็นไปตามคำสั่งของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับคำแนะนำจาก “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ซึ่ง พล.ต.อ.สมยศ ระบุว่า จะแจงเหตุผลไปยัง สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (เอเอฟเอฟ), สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (เอเอฟซี) และ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ทราบ ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของสมาคมฯ ตามลำดับต่อไปตามหน้าที่ของประเทศสมาชิก ทำให้มีข้อกังวลกันว่า อาจทำให้วงการฟุตบอลไทยโดน ฟีฟ่า ลงโทษในเรื่องที่มีการแทรกแซง

“บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศกลับมาท้าชิงเก้าอี้คืน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเสนอตัวมากอบกู้วงการฟุตบอล ตนจึงแสดงความรับผิดชอบเอง แต่ถ้ามีคนเสนอตัวมาเป็นนายกสมาคมฯ หลายคน ก็ไม่อยากให้แข่งกัน มานั่งคุยกันดีกว่าว่าใครเหมาะสมที่สุด จะได้ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น ตอนนี้เห็น “เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน เสนอตัวก็ดีใจ เพราะเป็นคนรับผิดชอบต่อวงการฟุตบอล ส่วนตนจะหลีกทางให้หรือไม่นั้น ต้องมาคุยกัน ต้องช่วยกัน ตนให้คำแนะนำได้ เคยทำงานมาก่อน มีหลายคนเสนอตัวก็เป็นเรื่องดีที่จะได้คุยกัน เรื่องข้อบังคับสมาคมฯ เรื่องอายุ และเรื่องการเคยถูกฟ้อง แล้วจะทำให้ตนลงสมัครไม่ได้นั้น ถ้าถึงเวลา สโมสรอยากให้ตนลงสมัคร ก็จะร้องต่อศาลปกครอง เชื่อว่าระเบียบไม่เป็นธรรมหลายข้อ

ส่วนเรื่องที่ไทยอาจโดนแบนนั้น นายวรวีร์ ที่เคยเป็นบอร์ดฟีฟ่า บอกว่า คิดว่า พล.อ.ประวิตร แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา บริสุทธิ์ใจ ผลแพ้-ชนะก็เรื่องหนึ่ง แต่เหตุการณ์ทะเลาะวิวาท คนเป็นผู้นำก็ควรแสดงสปิริตรับผิดชอบ พิจารณาตัวเองลาออก ไม่ใช่การแทรกแซง แต่ พล.ต.อ.สมยศ ก็ต้องตัดสินใจเองว่าจะลาออกหรือไม่ ในการแบนที่ผ่านมา หลายชาติโดนลงโทษ ต้องเป็นกรณีที่รัฐบาลประเทศนั้นๆ พยายามแทรกแซงการทำงานในสมาคมฯ เช่นแทรกแซงการเลือกตั้ง หรือส่งคนตัวเองเข้ามา แต่นี่แค่วิพากษ์วิจารณ์ ทำได้อยู่แล้ว พล.อ.ประวิตร พูดในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ ไม่ได้มีคำสั่งออกมาว่าต้องลาออก ดังนั้นไม่น่าจะโดนแบน.