สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ว่านพ.เทดรอส แอดนาฮอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ( ดับเบิลยูเอชโอ ) แถลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ว่าสถิติของดับเบิลยูเอชโอระบุว่า มีการกระจายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 บนโลกแล้วประมาณ 5,500 ล้านโดส แต่ประมาณ 80% อยู่ที่กลุ่มประเทศรายได้สูงและรายได้ปานกลาง 
ขณะที่บริษัทผู้ผลิตวัคซีน และประเทศร่ำรวยบางแห่ง "แก้ตัว" ว่ากลุ่มประเทศยากจน "จัดการวัคซีนไม่เป็น" อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กลุ่มประเทศยากจนเผชิญกับการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโรคมาแล้วหลายครั้ง ในรอบไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น หัด และโปลิโอ ตลอดจนอีกหลายโรค ซึ่งทุกประเทศสามารถจัดการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนจำนวนมากได้เป็นอย่างดี  แต่ด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ ทำให้ไม่สามารถ "ทุ่มเงินได้เพียงพอ" สู้กับกลุ่มประเทศร่ำรวย เพื่อแย่งชิงวัคซีนได้
ทั้งนี้ ดับเบิลยูเอชโอยังคงเป้าหมายการให้ทุกประเทศบนโลก ต้องฉีดวัคซีนแก่ประชากร ให้ได้อย่างน้อย 40% ภายในสิ้นปีนี้ แต่การกระจายวัคซีนให้แก่กลุ่มประเทศเป้าหมายหลักในตอนนี้ คือประเทศยากจน ยังคงเป็นปัญหา
ในอีกด้านหนึ่ง ดับเบิลยูเอชโอ องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน ( กาวี ) กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ( ยูนิเซฟ ) และกลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด ( เซปิ ) ออกแถลงการณ์ร่วมกัน ว่าโครงการโคแวกซ์ไม่สามารถส่งมอบวัคซีนได้ตามเป้าหมาย 2,000 ล้านโดสภายในปีนี้ โดยจำเป็นต้องลดเป้ากมายลง 30% มาอยู่ที่ประมาณ 1,425 ล้านโดส จากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การที่อินเดียระงับการส่งออกวัคซีน ความขัดข้องที่สายงานการผลิตของแอสตราเซนกา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน
ส่วน "การให้คำมั่นอย่างแข็งขัน" เพื่อบริจาควัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบรรดากลุ่มประเทศร่ำรวยนั้น นพ.เทดรอสทิ้งท้ายว่า "ขออย่าเป็นเพียงสัญญาปากเปล่า" และเน้นย้ำว่า ขอให้ชะลอแผนการฉีดวัคซีนเข็มที่สาม หรือบูสเตอร์ออกไปก่อน.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES