สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ว่า ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ผู้นำฟิลิปปินส์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญนายหวง ซีเหลียน เอกอัครราชทูตจีน เข้าพบเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เพื่อหารือเกี่ยวกับเหตุการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา


เหตุการณ์ที่ว่านั้น คือการที่เรือลาดตระเวนของหน่วยยามฝั่งจีน ฉีดน้ำแรงดันสูงใส่เรือของเจ้าหน้าที่ยามฝั่งฟิลิปปินส์ ซึ่งอยู่ระหว่างลำเลียงอาหาร น้ำ และเชื้อเพลิง ไปส่งยังฐานปฏิบัติการของทหารฟิลิปปินส์ บริเวณแนวสันดอนโธมัสที่สอง บริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์ ห่างจากชายฝั่งของจังหวัดปาลาวัน ทางตะวันตกของฟิลิปปินส์ ประมาณ 200 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากมณฑลไห่หนาน หรือเกาะไหหลำของจีน มากกว่า 1,000 กิโลเมตร


มาร์กอส จูเนียร์ กล่าวว่า คำตอบของจีนเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยาก ว่าทะเลส่วนนั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยของรัฐบาลปักกิ่ง แต่สำหรับฟิลิปปินส์ ทะเลส่วนนั้นถือว่าอยู่ภายใต้อธิปไตยของรัฐบาลมะนิลา จึงเป็นเรื่องที่ทั้งสองประเทศต้องหารือร่วมกันอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อกำหนดอาณาเขตของ “พื้นที่สีเทา”


ทั้งนี้ สำนักงานยามฝั่งของจีนกล่าวว่า ว่าเรือตรวจการณ์ 2 ลำ และเรือซ่อมบำรุง 2 ลำ “เป็นฝ่ายรุกล้ำน่านน้ำ” ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของรัฐบาลปักกิ่ง บริเวณหมู่เกาะหนานซา ซึ่งเป็นชื่อที่จีนใช้เรียกหมู่เกาะสแปรตลีย์ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า การดำเนินการของจีน “อยู่ภายในขอบเขตของกฎหมาย”


ด้านข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ระบุว่า ร้องเรียนตามช่องทางการทูตไปแล้วมากกว่า 200 ครั้ง เกี่ยวกับการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองประเทศในทะเลจีนใต้ นับตั้งแต่ปี 2563


ส่วนเหตุการณ์ฉีดน้ำลักษณะนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ปัจจุบัน แนวสันดอนโธมัสที่สองกลายเป็น “จุดร้อน” แห่งใหม่ของทะเลจีนใต้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือน พ.ย. 2564 เรือตรวจการณ์ของจีน เคลื่อนเข้ามาปิดเส้นทางเดินเรือ และฉีดน้ำใส่เรือของฟิลิปปินส์ ซึ่งเตรียมส่งเสบียงให้แก่ทหาร ที่ประจำการอยู่บริเวณแนวสันดอนแห่งนี้.

เครดิตภาพ : AFP