การแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ ครั้งที่ 49” ที่สนามสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี วันที่ 7 ก.ย. เป็นนัดแรก “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย อันดับ 113 ของโลก เปิดสนามพบ เลบานอน อันดับ 100 ของโลก โดยก่อนแข่งขันมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน

สำหรับผู้เล่น 11 คนแรกของทีมชาติไทย ลงสนามชุดแรกระบบ 3-5-2 ผู้รักษาประตู ฉัตรชัย บุตรพรม, เซ็นเตอร์ พรรษา เหมวิบูลย์, กฤษดา กาแมน, วีระเทพ ป้อมพันธุ์, วิงแบ๊กซ้าย บดินทร์ ผาลา, ขวา นิโคลัส มิคเกลสัน, กองกลาง “กัปตันอุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน, สารัช อยู่เย็น, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, กองหน้า สุภโชค สารชาติ, ธีรศิลป์ แดงดา ส่วน เลบานอน นำทัพโดยกัปตันทีม ฮัสซัน มาตุค, บาสเซล จราดี ที่เล่นกับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด

เริ่มเกม ไทยครองบอลบุกมากกว่า มีโอกาสจะๆ นาทีที่ 22 ธีรศิลป์ หลุดเดี่ยวแต่ยิงติดเซฟ มอสตาฟา มาตาร์ โกลเลบานอน นาทีที่ 32 จากเตะมุมของ สารัช อยู่เย็น บอลเลยมาถึง นิโคลัส มิคเกลสัน โขกชนเสา ท้ายครึ่งแรก นิโคลัส หยอดจากขวา ด้วยซ้าย โค้งเข้าประตู ฐิติพันธ์ โหม่งหลุดกรอบ

ช่วงทดเวลาครึ่งแรก ไทย ได้ประตูนำจนได้ จากจังหวะทะลุขึ้นไปทางซ้ายของ บดินทร์ ผาลา เปิดได้เสียเข้ากลางประตู บอลโดนแนวรับ เลบานอน เข้าไป จบครึ่งแรก ไทยนำ 1-0

ครึ่งหลัง เลบานอนมาตีเสมอนาทีที่ 57 ฮัสซัน มาตุค ลุยสุดเส้นฝั่งขวาของไทย ก่อนเปิดตัดเข้ามาถึง บาสเซล จราดี นักเตะทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ยิงเข้าไป จากนั้นฝนตกมาอย่างหนัก ต่างทำเกมลำบาก กระทั่งนาทีที่ 85 ไทย ได้ประตูนำ นิโคลัส มิคเกลสัน เปิดมาถึง “เทพมุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา โหม่งเข้าไป เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม ไทย ชนะ เลบานอน 2-1 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

ส่วนผลอีกคู่ อิรัก เอาชนะ อินเดีย 5-4 ในการดวลจุดโทษ หลังเสมอในเวลา 90 นาทื 2-2 โดยในรอบชิงชนะเลิศวันอาทิตย์ที่ 10 ก.ย. นี้ ไทย จะเจอกับ อิรัก ในเวลา 20.30 น. ขณะที่ อินเดีย จะดวลกับ เลบานอน ในรอบชิงอันดับ 3 คิกออฟ 17.30 น.