สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ว่าคณะกรรมการอาหารและยา ( เอฟดีเอ ) มีมติเป็นเอกฉันท์ 18-0 เสียง ในการประชุมเมื่อวันศุกร์ อนุมัติการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มที่สาม เพื่อเป็นบูสเตอร์ หรือกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ให้แก่ผู้มีอายุตั้งแต่ 65 ปี และผู้มีโรคประจำตัวซึ่งเอฟดีเอระบุว่า "เป็นกลุ่มเปราะบาง" ตลอดจนผูัที่ประกอบอาชีพเสี่ยงสูง คือ บุคลากรการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าด้านสาธารณสุข
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นประมาณ 1 เดือน หลังเอฟดีเอมีมติเมื่อวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา ให้ผู้ป่วยด้วยโรคประจำตัว ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เป็นบุคคลกลุ่มแรกในสหรัฐที่สามารถรับวัคซีนบูสเตอร์ได้ ไม่ว่าจะมีอายุอยู่ในช่วงวัยใด
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก 16-2 เสียง ยังไม่อนุมัติการใช้งานวัคซีนเข็มที่สามกับประชาชนเป็นวงกว้าง โดยคณะกรรมการส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า ยังไม่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันอย่างชัดเจนเป็นวงกว้าง เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มสาม ที่มีต่อการลดอัตราการป่วยหลักและเสียชีวิต 
ขณะเดียวกัน เอฟดีเอมีความกังวลว่า เมื่อฉีดวัคซีนเข็มที่สามแล้ว อาจต้องมีการฉีด "มากกว่านั้น" ในอนาคต ซึ่งจะเป็นการรับวัคซีนที่ "อาจมากเกินไป" ด้านไฟเซอร์แสดงความผิดหวังต่อมติดังกล่าวของเอฟดีเอ ที่หมายความว่า กำหนดการฉีดวัคซีนเข็มสามให้แก่ประชาชนทั่วไปของทำเนียบขาว ที่ต้องการให้เริ่มในวันที่ 20 ก.ย.นี้ คงไม่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่า ผลการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง 44,000 คน บ่งชี้ว่าการฉีดบูสเตอร์กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ 96% หลังฉีดครบสองเข็มไปแล้ว 2 เดือน แต่ลดลงเหลือประมาณ 84% หลังการฉีดครบสามเข็มไปแล้ว 6 เดือน.

เครดิตภาพ : AP