เรียกได้ว่าเป็นสัปดาห์ร้อนจากเหตุการณ์ “อาฟเตอร์ช็อกทางการเมือง” หลังจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ผ่านพ้นเกมโค่นอำนาจ ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ได้รับสียงโหวตไว้วางใจในอันดับรองบ๊วย

แต่เกมร้อนๆ ทางการเมืองก็ยังคงเดินต่อไป ระหว่างขั้วอำนาจของ “กลุ่ม 3 ป.” ที่ถูกมองว่าอาจจะขัดแย้งถึงขั้นแตกหัก จนมีการโชว์ภาพหวานออกสื่อ ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดย “บิ๊กตู่” ได้เดินโอบ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อส่งขึ้นรถยนต์ส่วนตัว ขณะที่ “บิ๊กป้อม” ก็มีการออกมาประกาศว่าไม่ได้งอน “บิ๊กตู่” ตามที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้

แม้ภาพที่เกิดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาลจะดูหวานชื่นสักแค่ไหน แต่อีกฝั่งหนึ่งก็ยังพลังอำนาจไม่แพ้กัน ดูได้จากการประชุมพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่า คนที่คุมเกมอำนาจสูงสุดยังคงเป็น “บิ๊กป้อม” เพียงหนึ่งเดียว โดยมีการหนีบ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์”เข้าร่วมประชุม พร้อมกันนั้นยังมีการดึง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ถือเป็นอดีตนายทหารคนสนิทเข้าขั้นเด็กในคาถา มาคุมตำแหน่งประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐคนใหม่

พร้อมกันนั้น “บิ๊กป้อม” ยังคงยืนยันไม่มีการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และไม่มีการปรับโครงสร้างเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค ซึ่งก็กลายเป็นว่า 2 รมช. ที่ถูก “บิ๊กตู่” ปลดออกจากเก้าอี้เสนาบดี ยังคงโชว์พาวมีบทบาทในพรรคพลังประชารัฐต่อไป ในเก้าอี้เลขาธิการพรรค และเหรัญญิกพรรค

ซึ่งการที่ “บิ๊กป้อม” ยังคงหนีบ “ผู้กองธรรมนัส” ไว้ข้างกาย หากมองในมุมการเมืองแล้ว การเก็บไว้ใกล้ตัวคงดีกว่าผลักออกไปเป็นศัตรูคู่แข่ง เพราะที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่า “ผู้กองธรรมนัส” โชว์ฝีไม้ลายมือในการเก็บแต้มจากศึกเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านๆ มาที่เรียกได้ว่า สู้สนามไหนชนะสนามนั้น ดังนั้นหากไม่ใช้ขุนพลคนนี้นำศึกเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้ โอกาสที่พรรคพลังประชารัฐจะผงาดขึ้นมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งก็คงจะเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ

ปัจจัยร้อนในเกมร้าวที่สำคัญคือ หากผลัก “ผู้กองธรรมนัส” ออกจากอกแล้ว จะเจอเกมสาวไส้ สวนกลับมาแบบตั้งรับไม่ทัน เพราะใครๆก็รู้อยู่ว่า “ผู้กองธรรรมนัส” ทำได้ทุกทางไม่เว้นแม้กระทั่งวิชามาร

งานนี้ถือเป็นการเล่นเกมแบบปกครองบนความแตกแยก เพราะอีกฝ่ายก็เป็น “น้องรัก” อีกฝั่งก็เป็นคนสนิทที่เข้าขั้นเป็น “ลูกเลิฟ” ที่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างขัดแย้งกันรุนแรง แต่ “บิ๊กป้อม” ก็ยังสามารถยืนอยู่ตรงกลาง และบริหารขั้วอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายได้

ส่วนเกมอำนาจที่จะเกิดขึ้นต่อไป มีการคาดการณ์ว่าการที่ “บิ๊กตู่” ยังคงจะเดินเกมประกาศศักดาคุมพรรคพลังประชารัฐต่อไป เพราะปัจจุบันยังอยู่ในสถานะ “นายกฯขาลอย” ถึงแม้ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” จะยังประกาศว่าเป็น “พี่รัก-น้องเลิฟ” กันอยู่ แต่ที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่า ยังมีช่องว่างที่ทำให้ลูกน้องคนสนิทสามารถวางเกมโค่น “บิ๊กตู่” จนเกือบจะสำเร็จมาแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้ “บิ๊กตู่” อาจจะต้องแก้ปัญหาอาการ “ขาลอย” ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็คงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร เพื่อไม่ให้เกิดอาการกินแหนงแคลงใจกันไปมากกว่าเดิม

ถึงแม้จะเป็น “นายกฯ ขาลอย” แต่ก็ยังมีไพ่เด็ดอยู่ในมือ คืออำนาจในการยุบสภา เพื่อตัดตอนเกมการเมือง ซึ่งด้วยไพ่เด็ดที่มีอยู่ ก็ทำให้เกิดข่าวลือหนาหูว่า “บิ๊กตู่” จะยุบสภาเร็วๆนี้ แต่หากประเมินตามบริบทการเมืองในปัจจุบันแล้ว แม้ นายกฯ จะมีอำนาจในการยุบสภา แต่หากเกิดการยุบสภาขึ้นและมีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ พรรคพลังประชารัฐก็คงต้องรอเก็บของกลับบ้านได้เลย เพราะภาพการเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลที่ไร้ผลงาน ทั้งความล้มเหลวในการรับมือโควิด การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยังไร้แสงสว่างที่ปลายอุโมง จนทำเอาประชาชนสิ้นหวังกันถ้วนหน้าแบบที่ผ่านมา แล้วยังมีปัญหาการแก่งแย่งอำนาจกันเองภายในพรรค ล้วนเป็นเรื่องที่สวนทางกับปัจจัยที่จะนำไปสู่การชนะเลือกตั้งทั้งสิ้น

ตามมาด้วยกระแสข่าวเรื่องการปรับ ครม. ที่มีการโยนสูตรการปรับ ครม.ออกมาหลายต่อหลายสูตรด้วยกัน แต่ก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด และ “บิ๊กตู่” เองก็ยังคงยืนยันว่าไม่มีการปรับครม. ดังนั้นต้องจับตาดูกันต่อไปว่า “บิ๊กตู่” จะเดินเกมปรับครม.อย่างไร จะมีการดึง “โควตากลาง” กลับคืนหรือไม่ โดยเฉพาะโควตากลางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งโควตา 2 รมช. ที่ยังว่างอยู่จะถูกจัดสรรปันส่วนไปในทิศทางใด คงจะต้องรอดูกัน

นอกจากนั้นแล้วความเคลื่อนไหวในพรรคพลังประชารัฐ แม้ “บิ๊กป้อม” จะคุมเกม ระหว่าง “น้องเลิฟ” กับ “ลูกน้องคนสนิท” เอาไว้ได้ แต่ภายในพรรคพลังประชารัฐเองยังคงแตกเป็นกลุ่ม แม้ “บิ๊กป้อม” จะประกาศชัดว่า “อย่ามีกลุ่มมีก๊วน ต่อไปจะมีแต่กลุ่มหัวหน้าพรรค แล้วห้ามไปตั้งก๊วน ตั้งมุ้ง ส่วนมุ้งต่างๆ ที่เคยดูแล ส.ส.กันอยู่ ขอให้หยุด ต่อไปถ้าจะดูแล มาเอาที่ผม ผมรับผิดชอบคนเดียวเอง”

แต่ก็ยังมีการจับกลุ่มให้ได้เห็นอย่างชัดเจน แม้จะมีการประกาศสลายกลุ่มก๊วน แต่ด้วยสายสัมพันธ์จากการดูแลกันในช่วงที่ผ่านมา ก็จะทำให้เกิดภาพการคานอำนาจของกลุ่มต่างๆ และคอย “แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ” กันอยู่ตลอด และเมื่อมีความแตกแยกและมีปัญหากันระหว่างกันเอง ทุกคนก็ต้องวิ่งมาที่ศูนย์กลางอำนาจ ซึ่งอยู่ที่ “บิ๊กป้อม” ซึ่งเป็นการบริหารบนความแตกแยก ที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

นอกจากนี้ ยังมี “อาฟเตอร์ช็อกทางการเมือง” จากควันหลงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งกรณีที่ฝ่ายค้าน ตั้งท่าลุยซ้ำดาบสอง “บิ๊กตู่-รัฐมนตรี” โดยเตรียมยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวน 8 ประเด็น ทั้งเรื่องโควิด เรื่องการระบายสต๊อกยางพารา และเรื่องดาวเทียม นอกจากนั้นยังมีการตรวจสอบกรณีที่มีการกล่าวหา “บิ๊กตู่” จ่ายเงินให้ ส.ส. คนละ 5 ล้านบาท เพื่อแลกเสียงโหวต ที่สภามีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแบ้วก่อนหน้านี้ ตลอดจนเกมโต้กลับของพรรคเล็ก ที่มีการล่ารายชื่อเตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่ง “อาฟเตอร์ช็อกทางการเมือง” ที่เกิดขึ้น อาจจะกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองหลังจากนี้

ขณะที่ “เกมการเมืองนอกสภา” หลังจากนี้ มีวี่แววร้อนแรงไม่แพ้กัน โดยล่าสุดจะมีการปล่อยแกนนำแล้วหลายคน  ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีการเดินเกม “ม็อบทะลุฟ้า” เพื่อปลุกกระแสะ-เลี้ยงกระแสการชุมนุมกันต่อไป จนกว่าสถานการณ์จะสุกงอมมากกว่านี้ ขณะที่ “ม็อบทะลุแก๊ส” ก็ยังคงเปิดสงครามตาลีบัน “สมรภูมิดินแดง” กันแบบรายวันต่อไป ซึ่งงานนี้ ผู้ที่มีส่วนในการรับผิดชอบ จะต้องเร่งแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จ ก่อนที่ประเทศอาจจะต้องจะเข้าสู่สงครามโควิดอีกครั้ง

เนื่องจากการที่รัฐบาลมีแผนเปิดกรุงเทพฯในวันที่ 15 ต.ค.นี้ แม้แผนการเปิดประเทศจะเป็นความหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็จะต้อง “ชั่งน้ำหนักความเสี่ยง” เรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดด้วยเช่นกัน เพราะปัจจัยสำคัญในการจะเปิดประเทศได้คือการระดมฉีดวัคซีนให้ได้จำนวนถึ  70% แต่การฉีดวัคซีนที่จะนับยอดตัวเลขประชากรกรุงเทพฯแค่คนที่มีภูมิลำเนาในกรุงเทพฯไม่ได้ เพราะมีจำนวนประชากรแฝงอยู่ในกรุงเทพฯเกินครึ่งของประชากรในกรุงเทพฯ ดังนั้นการดันทุรังเปิดประเทศทั้งที่การฉีดวัคซีนยังไม่ถึงเกณฑ์ สุดท้ายจะกลายเป็นการซุกปัญหาไว้ใต้พรม แล้วรอวันระเบิดออกมาอีกทีคือการแพร่ระบาดใหญ่ระลอกใหม่

ซึ่งถึงจุดนั้นจะเป็นภาพสะท้อนให้เห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้นว่า “รัฐบาลบิ๊กตู่” กำลังเอาชีวิตของประชาชนทั้งประเทศไปแขวนไว้บนเส้นด้าย แบบไร้ความรับผิดชอบ.