เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ทาง บช.น. รายงานผลการจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในห้วงที่ผ่านมา 3 คดี คดีแรกกรณีที่มีการนัดหมายการชุมนุมของกลุ่มทะลุแก๊ส เมื่อวันที่ 11 ส.ค. บริเวณแยกดินแดง มีผู้ก่อความวุ่นวาย จุดไฟเผาทรัพย์สินต่างๆ จนได้รับความเสียหาย และมีการร่วมกันจุดไฟเผารถยกของ สน.ดินแดง ได้รับความเสียหายบริเวณใต้ทางด่วนดินแดงนั้น ต่อมามีการออกหมายจับ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.บช.น. สามารถจับกุมผู้ร่วมกระทำผิด คือนายกรรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 19 ปี เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น เบื้องต้นผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง เจ้าหน้าที่นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

กรณีที่สอง จากการนัดหมายการชุมนุมของกลุ่มทะลุแก๊ส เมื่อวันที่ 10 ก.ย. บริเวณแยกดินแดง ปรากฏภาพบุคคลพยายามทุบทำลายกล้องวงจรปิด (ทรัพย์สินทางราชการเพื่อสาธารณประโยชน์)​ จนได้รับความเสียหาย จากการสืบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบว่าผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชนอายุ 15 ปี พนักงานสอบจึงรวบรวมพยานหลักฐานขอให้ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ออกหมายจับตามหมายจับที่ จ.30/2564 ลง 16 ก.ย.64 ข้อหาร่วมกันชุมนุมฯ, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และทำให้เสียทรัพย์ฯ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.1 บก.สส.บช.น. สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้บริเวณ ซอยวัดเทียนถวาย ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ท้องที่ สภ.ปากคลองรังสิต เบื้องต้นผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ต่อไป

ส่วนกรณีสุดท้าย การชุมนุมของกลุ่มทะลุแก๊ส เมื่อวันที่ 14 ก.ย. บริเวณแยกดินแดง ได้ก่อความวุ่นวาย มีการจุดไฟเผาทรัพย์สินต่างๆ จนได้รับความเสียหาย ดังปรากฏภาพกลุ่มคนร่วมวางเพลิงเผาทรัพย์ หน้ากระทรวงแรงงานนั้น จากการตรวจสอบและสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบว่าบุคคลที่ปรากฏในภาพ ได้แก่นายณรงค์ศักดิ์ อายุ 23 ปี นายณัฐพล อายุ 18 ปี และเยาวชน อายุ 17 ปี ต่อมาศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ในข้อหา ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น, หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 17 ก.ย.เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.1 บก.สส.บช.น. ได้จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง จากนั้นได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้มีรายงานว่า ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ขณะก่อเหตุได้พยายามอำพรางปกปิดใบหน้า ด้วยหมวกกันน็อก หรือผ้าคลุมหน้า แต่เจ้าหน้าที่ก็สามารถขยายผลสืบสวนติดตามจับกุมได้อย่างรวดเร็ว.