เมื่อวันที่ 20 ก.ย. นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ ออกมาวิจารณ์แผนการฉีดวัคซีนโควิดให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป โดยไม่เห็นด้วย ที่จะให้ฉีดวัคซีนจนครบถึงเปิดเรียนได้ และให้ปรับแผนไปฉีดวัคซีนให้กลุ่มผู้สูงอายุก่อนว่า ฝ่ายรัฐขอบคุณสำหรับข้อเสนอของนายจาตุรนต์ อย่างไรก็ตาม ต้องขอชี้แจงว่า ปัจจุบันทุกหน่วยงานระดมฉีดวัคซีนให้กลุ่ม 608 คือผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 7 โรคกลุ่มเรื้อรังเป็นเป้าหมายแรกอยู่แล้วซึ่งใน กทม.ฉีดใกล้แตะ 100% ส่วนการฉีดวัคซีนเด็กสามารถทำไปพร้อมกันได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกใครต้องมาก่อน-หลัง เพราะใช้วัคซีนคนละยี่ห้อ โดยเด็ก 12 ปีขึ้นไป จะมีการฉีดไฟเซอร์ ส่วนผู้ใหญ่จะฉีดซิโนแวค กับ แอสตราเซเนกา ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนพร้อมกันทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ยิ่งทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการฉีดได้ได้ 70% ของประชากรได้เร็วขึ้น เป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน

“การต้องฉีดวัคซีนก่อนเปิดเทอมมีความจำเป็นมาก เพราะอย่าลืมว่าเด็กไม่ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนมานานปีกว่าแล้ว เสียโอกาสการเรียนรู้มากแล้ว เมื่อเปิดเรียนต้องมั่นใจในความปลอดภัย ไม่เกิดการระบาดของโควิดในโรงเรียน ซึ่งปกติเด็กมีความสามารถป้องกันตัวเองจากโรคที่ต่ำกว่าผู้ใหญ่ ทั้งในเรื่องการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ จำเป็นต้องได้วัคซีนเข้ามาช่วยสร้างความปลอดภัย ถ้าละเลย เรื่องวัคซีน แล้วเปิดเทอมไปเลย ย่อมจะเกิดความเสี่ยงมหาศาล” นายวัชรพงศ์ กล่าว

นายวัชรพงศ์ กล่าวต่อว่า ขอร้องว่า ตอนนี้ อย่าเพิ่งสร้างความสับสนให้สังคม อย่าพยายามทำให้เห็นว่าประเทศไทย จัดลำดับความสำคัญผิด อย่าเอาเรื่องการฉีดกลุ่ม 608 มาผสมรวมเป็นเรื่องเดียวกับการฉีดให้เด็ก อย่าไปคิดว่า ถ้าฉีดให้เด็กแล้วเราละเลยกลุ่ม 608 ซึ่งไม่จริง เพราะใช้วัคซีนคนละยี่ห้อ ขณะที่เราเร่งฉีดให้เด็ก กลุ่ม 608 ยังได้รับวัคซีนเป็นเป้าหมายแรกเหมือนที่ผ่านมา ชั่วโมงนี้ ประเทศไทย กำลังมุ่งหน้าสู่การฟื้นคืนชีวิต ฟื้นคืนเศรษฐกิจ เราต้องการรับข่าวสารที่เป็นเรื่องจริง และเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน มันต้องช่วยกันสื่อสาร โปรดอย่าทำให้คนไทยสับสน.