สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ว่า บริษัทไฟเซอร์เผยแพร่แถลงการณ์ของนายอัลเบิร์ต บูร์ลา ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) เมื่อวันจันทร์ มีสาระสำคัญว่า นับตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา สถิติการติดเชื้อและการป่วยโรคโควิด-19 ของเด็กในสหรัฐ เพิ่มขึ้นประมาณ 240% บ่งชี้ความจำเป็นของการที่เด็กต้องได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งไฟเซอร์ไม่เคยนิ่งนอนใจในเรื่องนี้ และเตรียมยื่นเรื่องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล เพื่อขอรับการพิจารณาให้มีการรับรองเพื่อกรณีฉุกเฉินเป็นการด่วนแล้ว
ขณะเดียวกัน บูร์ลากล่าวถึงผลเบื้องต้น ของการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 2 และ 3 ของไฟเซอร์ ซึ่งพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเทคของเยอรมนี ว่าการฉีดวัคซีนสองเข็มสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ให้กับกลุ่มตัวอย่างอายุ 5-11 ปี ในระดับดีเทียบเท่ากับการทดสอบในกลุ่มตัวอย่างอายุ 16-25 ปี  

ทั้งนี้ ไฟเซอร์ลดปริมาณวัคซีนที่จะฉีดให้กลุ่มตัวอย่างอายุ 5-11 ปี เหลือเพียงโดสละ 10 ไมโครกรัม ฉีดสองเข็มห่างกัน 21 วัน แต่ผู้มีอายุตั้งแต่ 12 ปี ได้รับวัคซีนปริมาณเท่ากับผู้ใหญ่ คือโด๊สละ 30 ไมโครกรัม
ปัจจุบัน วัคซีนของไฟเซอร์ยังเป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่คณะกรรมการอาหารและยา ( เอฟดีเอ ) อนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉิน ให้ใช้กับเด็กอายุ 12-15 ปี โดยการอนุมัติของเอฟดีเออ้างอิงตามผลการทดสอบของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 12-15 ปี จำนวน 2,260 คน โดย 18 คนได้รับยาหลอก ปรากฏว่าวัคซีนให้ประสิทธิผลในการป้องกันการเกิดอาการป่วยในกลุ่มตัวอย่างช่วงวัยนี้ได้ 100%.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES