รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้ทีมวิจัยโครงการรถไฟไทยทำ หรือการผลิตรถไฟโดยสารต้นแบบ จากสถาบันเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) ได้ส่งมอบรถไฟไทยทำ “สุดขอบฟ้า (Beyond Horizon)” ซึ่งเป็นตู้โดยสารต้นแบบคันแรกของประเทศไทย ตามโครงการ “ไทยเฟิร์ส” ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้ก่อน ตามมาตรฐานที่การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) กำหนดให้แก่ รฟท. นำไปใช้ประโยชน์เรียบร้อยแล้ว โดยหลังจากนี้ รฟท. จะเร่งนำไปทดสอบการทำขบวนร่วมกับขบวนรถไฟต่างๆ ที่ให้บริการจริงในปัจจุบันของ รฟท. ต่อไป เบื้องต้นคาดว่าตั้งแต่ปี 67 จะได้เห็นรถไฟไทยทำ “สุดขอบฟ้า” ออกให้บริการประชาชนในเส้นทางต่างๆ ทั่วประเทศไทย ทั้งในรูปแบบของท่องเที่ยว และการให้บริการทั่วไป

รายงานข่าวแจ้งต่อว่า เนื่องจากรถไฟไทยทำมีเพียง 1 คัน รฟท. จึงมีแผนนำรถดังกล่าวมาให้บริการแบบกระจายให้ครบทุกภูมิภาค ทั้งเส้นทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ โดยสลับกันตลอดทั้งปี เพื่อให้มีความเสมอภาคกัน เพราะเป็นตู้โดยสารที่ได้รับความสนใจจากประชาชนค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเส้นทางว่าจะนำตู้โดยสารดังกล่าวให้บริการในเส้นทางใดบ้าง รวมถึงอัตราค่าโดยสารว่าควรจะเป็นเท่าใด เบื้องต้นอาจต้องนำมาให้บริการเดินรถในเส้นทางระยะไกล เพราะจะได้ราคาค่าโดยสารที่สูง และคุ้มค่ามากกว่าการให้บริการในเส้นทางระยะสั้น ที่ค่าโดยสารจะถูกกว่า นอกจากนี้จะเปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถเช่าเหมาเป็นตู้พิเศษได้ด้วย อาทิ เช่าเพื่อท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะ เป็นต้น

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับรถไฟไทยทำ “สุดขอบฟ้า” มีความพิเศษ และหรูหรา ที่นั่งภายในรถเหมือนกับที่นั่งในเครื่องบินชั้นธุรกิจ และชั้นเฟิร์สคลาสในรถไฟความเร็วสูง มีความยาว 24 เมตร กว้าง 2.80เมตร มี 25 ที่นั่ง ประกอบด้วย ชั้น Super Luxury 8 ที่นั่ง และชั้น Luxury 17 ที่นั่ง ทุกที่นั่งมีจอภาพส่วนตัวให้บริการด้านความบันเทิง และสั่งอาหาร ที่นั่งเป็นเบาะนวดได้ มีพนักงานเสิร์ฟหุ่นยนต์นำอาหารมาส่งถึงที่นั่ง มีระบบดูแลความปลอดภัย มีระบบห้องน้ำสุญญากาศ และสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งทางขึ้นรถไฟที่ได้รับการออกแบบ เพื่อรองรับการใช้งานของผู้พิการ ทั้งนี้ตัวรถใช้ความเร็วสูงสุดได้ 120กิโลเมตร(กม.)ต่อชั่วโมง(ชม.) ซึ่งเมื่อรถคันนี้ออกให้บริการ คาดว่าจะช่วยเปลี่ยนทัศนคติของคนไทยที่มีต่อรถไฟไทยให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า การผลิตตู้โดยสารต้นแบบขึ้นมาครั้งนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คนไทยสามารถทำได้ และยังใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 44% ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ(Local Content) และลดการนำเข้าเทคโนโลยี โดยหากคิดเฉพาะตู้โดยสารพร้อมอุปกรณ์ประกอบ ไม่รวมแคร่รถไฟจะมีชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศสูงกว่า 70% สำหรับโครงการนี้ใช้งบประมาณในการวิจัยเฉพาะการพัฒนารถ รวมแคร่ และงานระบบ ประมาณ 32 ล้านบาท โดยได้รับสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ(บพข.) ร่วมกับบริษัท กิจการร่วมค้าไซโนเจน-ปิ่นเพชร จำกัด 

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า อย่างไรก็ตามก่อนส่งมอบรถไฟดังกล่าวให้ รฟท. ได้ผ่านการทดสอบทั้งแบบสถิตย์ (static test) ในโรงงาน และการทดสอบแบบพลวัต (dynamic test) ทั้งการใช้งาน และความปลอดภัยแล้ว โดยทดสอบเดินรถจาก สถานีรถไฟบ้านพลูตาหลวง ถึงสถานีบ้านคลองสิบเก้า พ่วงไปกับหัวรถจักรอุลตร้าแมน ระยะทางประมาณ 135 กม.รวมไป-กลับ 270 กม. โดยทดสอบ 2 วัน รวมกันประมาณ 540 กม. ซึ่งผลการทดสอบไม่พบปัญหาใด นอกจากนี้ยังทดสอบระบบเบรกในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งเบรกปกติ และเบรกฉุกเฉิน รวมถึงทดสอบความปลอดภัยในการวิ่ง และมาตรฐานด้านความสะดวกสบายของผู้โดยสารตามเกณฑ์มาตรฐานยุโรปด้วย จึงถือว่ามีความพร้อมมากที่จะนำมาให้บริการประชาชน.