ผันตัวมาเป็นนักแสดงอีกคนนึงแล้วสำหรับหนุ่มแซ่บ บิ๊ก ณทรรศชัย ที่ได้หมดสัญญากับวิกหมอชิตไปเมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยบิ๊กได้เปิดใจในงาน RISERA GRAND OPENING เปิดตัวแบรนด์ RISERA ว่าตอนนี้มีละครและซีรี่ส์วายติดต่อเข้ามา ประกาศพร้อมเล่นจัดเต็มแบบไม่มีลิมิต และยังได้เปิดใจหลังมีคนขอซื้อกางเกงในและถุงเท้าที่ใช้แล้วกลางไลฟ์ขายของ พร้อมสั่งห้ามซักและให้ส่งแบบใส่ถุงรัดหนังยางเพราะกลัวกลิ่นหาย

บิ๊ก เผยว่า “ผมก็เพิ่งหมดสัญญากับทางช่อง 7 ครับผม หมดสัญญาไปตอนเดือนธันวาครับ ตอนนี้เป็นอิสระแล้วครับ ตอนนี้ก็เคลียร์งานทางช่องอยู่ครับ ก็คือยังเหลือละครอีกหนึ่งเรื่อง ก็กำลังถ่ายทำอยู่ แล้วก็มีรับเรื่องใหม่แล้วนะครับ งานแสดงตอนนี้ก็คอนเฟิร์มแล้วบ้าง แล้วก็มีที่ยังไม่คอนเฟิร์มด้วย แต่ผู้จัดการก็ยังไม่บอกว่าเป็นเรื่องอะไรครับ ที่ตัดสินใจเป็นอิสระก็จริงๆ ผมอยู่กับช่อง 7 มาตั้งแต่เด็กอ่ะครับ ตั้งแต่อายุ 20 ตอนนี้ก็ 32 แล้วครับ ก็รู้สึกว่าเราก็อยากจะไปหาความท้าทายใหม่ๆ ครับ เรื่องค่ายอื่นๆติดต่อมาไหม ก็มีครับ มี มีติดต่อซีรีส์มาครับผม จริงๆ เราก็กะจะเป็นอิสระยาวๆ เหมือนกัน อาจจะไม่ได้สังกัดที่ไหน อาจจะแบบว่าเปิดกว้างให้ตัวเองได้ไปเล่นหลายๆ ที่ ทำผลงานได้ในหลายๆ ที่ครับ ที่จะแสดงต่อไปก็เป็นพระเอกเต็มตัวเลยครับ“

“พอเป็นอิสระก็มีรายการและอื่นๆติดต่อมา แล้วก็มีซีรี่ส์ มีละครครับ และก็มีซีรีส์วายจริงครับ ตอนนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ว่าเรื่องอะไรครับผม ก็อยากฝากติดตามครับ คาแรกเตอร์ผมว่าพลิกเลยนะ เพราะว่าผมเคยดูซีรีส์วายที่น้องๆ แสดงอยู่หลายเรื่อง ก็รู้สึกว่าก็ท้าทายนะถ้าเราต้องไปเล่นอะไรอย่างงี้ มันพลิกจากที่เราเล่นละครดราม่า บู๊อะไรอย่างนี้ ก็เปลี่ยนบทบาทมาเป็นแบบว่าหนังวายครับ เป็นพระเอกและเป็นวายครับที่ผมแสดง ส่วนเรื่องเนื้อหาผมว่าน่าจะดุดันตามความแบบว่า คือปกติแล้วทุกคนจะเห็นภาพผมเป็นแนวเซ็กซี่อะไรอย่างนี้ครับ ผมว่าเขาก็น่าจะวางแนวแบบว่าน่าจะเซ็กซี่มากๆ เลยครับ จริงๆ แล้วในความคิดผมนะครับ ก็เล่นได้สุดทุกเบอร์เลยครับ เพราะว่าเราคิดเสมอว่าเราเป็นนักแสดง เรารับบทมาแล้ว เราก็ต้องเป็นตัวละครนั้นให้ได้ แล้วก็เต็มที่ครับ”

“อย่างตอนไลฟ์ขายของคือใส่กางเกงขาสั้นเลย แฟนๆ เรียกร้องคือ ปกติแรกๆ ก็ไลฟ์สดปกติเนี่ยแหละครับ หลังๆ เรารู้สึกว่าไลฟ์สดแล้วแบบว่าได้ตังค์ด้วย ก็เลยเอาของที่บ้านมาขาย เสื้อผ้าของตัวเอง แล้วตอนนี้ก็มีของเพื่อนๆ ของคนโน้นคนนี้บ้างอะไรอย่างนี้ แล้วก็ส่วนมากจะเป็นพวกเสื้อผ้าออกกำลังกาย กีฬา กางเกงขาสั้นอะไรอย่างนี้ เพราะว่าลูกค้าของเราก็จะเป็นแนวแบบว่า LGBTQ ซะส่วนใหญ่ครับคือตรงทาร์เก็ตครับคือบางทีมันก็จะมีกางเกงหลากหลายไซส์ บางทีเราใส่ไซส์เล็กไป มันก็อาจจะแบบว่ามีหลุดไปบ้างนิดหน่อย อะไรอย่างนี้ครับ คือมีพี่ๆ บางท่านเขานั่งอัดตั้งแต่เราไลฟ์ตั้งแต่สี่ทุ่มยันประมาณตีสี่ ตีห้า ผมก็ยอมใจเค้าจริงๆ (เขานั่งแคปหน้าจอเลยเหรอ ? ) ใช่ เขานั่งแบบอัดหน้าจอเลยครับอัดวิดีโอยาว บางทีเราขึ้นไลฟ์สดปุ๊ปเนี่ย เวลาเราขึ้นไลฟ์สดเราก็จะไม่ได้ใส่เสื้อข้างบนไง เพราะว่าเราเพิ่ง ออกกำลังกายเสร็จ แล้วก็ใส่แค่ท่อนล่าง เขาก็จะแคปไปลงตามเพจต่างๆ เพื่อเรียกคนดูมา”

บิ๊ก เล่าต่อว่า “เรื่องลูกค้าขอซื้อกางเกงใน แรกๆ คือเขาก็เห็นแค่ขอบ (กางเกงใน) เพราะว่าเราไม่ได้ใส่เสื้อ เราก็คิด เอ๊ะ !จะดีไหมนะ แล้วเขาก็ถามบ่อยมากนะ หลายๆ คนเลย เราก็รู้สึกว่ามันก็ขำๆ ดี ก็มีบ้างครับ ก็ขายไป 2-3 ตัว เพื่อเอนเตอร์เทน เขาก็บอกว่าขอแบบว่าอย่าพึ่งซักอะไรอย่างนี้ ถ้าซักราคามันตกอะไรอย่างนี้คือเราเป็นคนใจถึงอยู่แล้วครับ ผมไม่ค่อยเป็นคนขี้อายอะไรเท่าไหร่ ผมก็บอก ถ้าพี่กล้าซื้อ ผมก็กล้าขายนะ เราซื้อมาเท่าไหร่ตัวนั้นไม่กี่ร้อยครับ แล้วขายไปประมาณ 4-5 พันครับ แล้วก็ไม่ซักด้วยคือห้ามซักครับที่คนอาจจะมองไม่ดี คือเราก็บอกในไลฟ์ตลอดว่าเราไม่ได้ไปสื่อถึงทางนั้น คือพี่ๆ อยากได้เนี่ย ผมจัดให้ ผมเป็นคนที่แบบว่าใจถึงอยู่แล้ว แล้วก็คือเหมือนกับว่า เค้าชอบอะไรที่แบบว่าความเรียลของเรา ก็คือแบบว่าเราออกกำลังกายมา กางเกงเปียกเหงื่อ บางทีใส่เสื้อผ้าที่เพิ่งออกกำลังกายเสร็จอะไรอย่างนี้ เขาก็เอฟทั้งชุดเลย เขาบอกว่าห้ามซัก และไดเร็คท์แตกเลย จะซื้ออีกหรือพี่ ผมไม่มีเสื้อใส่ออกกำลังกายแล้วนะ เขาอยากได้ ผมจัดให้อะไรอย่างนี้ ส่วนวิธีการคือให้ห่อใส่ถุงเพื่อไม่ให้กลิ่นหายคือมีพี่บางท่านซื้อถุงเท้าผมอะไรอย่างนี้ เขาบอกว่าขอใส่แบบไม่ซักมานาน แล้วเวลาส่งเขาบอกว่าให้ใส่ถุงแกงแล้วมัดปากถุงรัดหนังยาง ผมก็งงว่าแบบว่า โอเคครับ ได้ครับอะไรอย่างนี้คือลูกค้าขออะไร เราก็ก็ตามใจครับ”

“ช่วงแรกๆ มันจะเป็นเสื้อผ้าของเราซะส่วนใหญ่ เราก็ขายไปเยอะ บางทีเราก็ยังไม่ได้ซัก ก็เอามาขึ้นไลฟ์บ้างอะไรอย่างนี้ คนซื้อถุงเื้าไปเขาก็ยังอยู่ดีอยู่ครับ เขาก็ยังทักมาอยู่บ้างครับ แบบว่ามีถุงเท้าอีกไหมครับ (ของคนอื่นเค้าใส่แล้วซัก แต่ของใส่แล้วขาย ?) ใส่แล้วขายครับผม คือจริงๆ เราก็ บอกว่า พี่ ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวผมเอาไปซักให้ก่อน เพราะมันเหม็น เขาก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับคุณบิ๊ก เอาแบบนี้เลยอะไรอย่างนี้ แต่เขาเอาไปทำอะไร ผมก็ไม่แน่ใจอ่ะครับ ไม่กล้าพูดเหมือนกันว่าเอาไปทำอะไรต่อ ก็คือก็คิดในแง่ดี เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก คือเราไม่ได้คิดส่อเสียดไปในทางไม่ดี เราคิดว่าคนเราเขาชอบเรา เขาชื่นชอบเราอะไรอย่างนี้ เราก็ให้สิ่งดีๆ ตอบแทนเขาได้ อันนี้ก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี บางคนอาจจะมองว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีอาจจะเป็นเรื่องที่อะไรอย่างนี้ (กางเกงในของใช้ ?) อ่า ของใช้ แต่เราก็คิดว่าเป็นการอินเตอร์เทนลูกค้า ตัวนี้เราก็อาจจะมีหลายตัว ถ้าเขาอยากได้เราก็ให้ได้ แต่ว่าเราก็ไม่ได้ขายทุกครั้ง หลังๆ เราก็ไม่ขายแล้ว เราก็ขายแค่แบบว่า 2-3 ครั้ง ก็พออะไรอย่างนี้ครับ มีแถมกลิ่นครับ ถ้าเป็นพวกถุงเท้า หรือว่าเสื้อผ้าที่ใช้แล้วมันก็จะมีกลิ่นติดไปบ้างอะไรอย่างนี้ แต่เราก็มั่นใจว่าเราก็ไม่ได้เป็นคนตัวเหม็นอะไรขนาดนั้นนะครับ”