สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 29 ก.พ. ว่า ความพยายามด้านการอนุรักษ์ และการยุติการล่าวาฬเชิงพาณิชย์เมื่อปี 2519 ทำให้ประชากรวาฬหลังค่อมในมหาสมุทรแปซิฟิก เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2555 แต่รายงานของกลุ่มนักวิจัยระบุว่า จำนวนวาฬลดลงอย่างรวดเร็ว ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

แม้ก่อนหน้านี้มีการสันนิษฐานอย่างกว้างขวางว่า ประชากรวาฬจะลดลงตาม “ความสามารถในการรองรับของพื้นที่” หรือจำนวนวาฬที่มหาสมุทรสามารถรองรับได้ อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิทยาศาสตร์ 75 คน กลับพบว่า จำนวนวาฬลดลงรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

ตั้งแต่ปี 2557-2559 คลื่นความร้อนทางทะเลครั้งรุนแรงที่สุด และคงอยู่ยาวนานที่สุด เท่าที่เคยมีการบันทึกมา ทำลายพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก ด้วยอุณหภูมิผิดปกติที่สูงเกิน 3-6 องศาเซลเซียสในบางครั้ง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบนิเวศทางทะเล และอาหารของวาฬหลังค่อม

“เราประมาณการว่า วาฬประมาณ 7,000 ตัว ส่วนใหญ่อดอาหารจนตาย” นายเท็ด ชีสแมน นักชีววิทยาวาฬ และนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นครอส ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย กล่าว

ตามข้อมูลของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (ไอพีซีซี) คลื่นความร้อนในทะเล ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และรุนแรงยิ่งขึ้น มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทั่วโลกในช่วงศตวรรษนี้

อนึ่ง ข้อจำกัดระหว่างประเทศเกี่ยวกับการล่าวาฬเชิงพาณิชย์ ทำให้ประชากรวาฬหลังค่อมตัวเต็มวัย กลับมาอยู่ที่มากกว่า 80,000 ตัวทั่วโลก อีกทั้งในปัจจุบัน ความพยายามในการอนุรักษ์ ยังมีอยู่ควบคู่กับการดำเนินการด้านสภาพอากาศด้วย.

เครดิตภาพ : AFP