เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 มี.ค. ที่รัฐสภา นายสมชาย แสวงการ สว. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ พร้อมกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายเศรษฐา ระบุด้วยว่าหากเป็นไปได้ จะควงนายทักษิณลงพื้นที่ด้วย ว่า เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สังคมตั้งคำถามมาก เพราะนายทักษิณ ยังเป็น “นักโทษเด็ดขาด” ที่ได้รับการพักโทษ การขออนุญาตเดินทางไปเพื่อไหว้สุสานบรรพบุรุษ ถ้ากรมควบคุมประพฤติอนุญาตก็ทำได้ แต่ถ้าดูจากการเดินทางและพฤติการณ์ทั้งหมด ที่สื่อมวลชนได้ตามถ่ายทอดสดตลอด ไม่ว่าจะเป็นในการไปในสถานที่ต่างๆ จนงานตรวจราชการ เสมือนหนึ่งเป็นนายกฯ ไปจัดงานรื่นเริงสังสรรค์ที่ร้านอาหารกับเพื่อนมงฟอร์ต ที่บ้านในสนามกอล์ฟ โดยมีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการ  รัฐมนตรีช่วยว่าการ ปลัดกระทรวง อธิบดีกรมต่างๆ รอง ผบ.ตร. ผู้การตำรวจจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด ไปรายงานปฏิบัติการต่างๆ ตนคิดว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะนายทักษิณ ยังอยู่ในคดียังไม่พ้นโทษ

นายสมชาย กล่าวต่อว่า นายทักษิณยังอยู่ในคดีในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยคดีนี้ตำรวจสั่งฟ้องแต่รออัยการ คือหมิ่นประมาทอาฆาตมาตร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งคนที่สั่งให้ไปแจ้งความคืออดีต รมช.กลาโหม และอดีต ผบ.ทบ. ซึ่งอัยการจะพิจารณาในวันที่ 10 เม.ย. นี้ ซึ่งตนคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้ทางการเมืองยิ่งตกต่ำลงไปอีกโดยเฉพาะต่อรัฐบาล ความไม่เหมาะสมของบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ต้องทบทวน แต่ถ้านายทักษิณพ้นโทษแล้วก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง ดังนั้น เรื่องนี้ต้องตรวจสอบต่อ ซึ่งสื่อมวลชนก็เห็นคลิปวิดีโอทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงการหายป่วยของนายทักษิณ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจจะป่วยไม่ได้เยอะอย่างที่หลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี แพทย์ โรงพยาบาลตำรวจ โฆษกพรรค ที่ระบุว่าป่วยวิกฤติต่อเนื่องร้ายแรง ถ้าไม่อยู่ในการรักษาจะทำให้เสียชีวิต ซึ่งถือว่าขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ซึ่งการใส่ปลอกคอกับผ้าที่แขน ไม่ใช่เป็นอาการป่วยในเรื่องกระดูก เป็นเรื่องปกติ เพราะภาพวิดีโอได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ทั้งหมด

นายสมชาย กล่าวว่า การลุกนั่ง พบกับพระ หรือไปพบกับคนที่รักใคร่ รดน้ำปลูกต้นไม้ พรวนดิน การโหนขึ้นรถกอล์ฟ ชัดเจนมากว่าการที่บอกว่าป่วยจากกล้ามเนื้อเปื่อยยุ่ย ไม่มีนิยามทางการแพทย์ ส่วนอาการป่วยในเรื่องอื่นๆ ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะสูงวัย ส่วนที่นายทักษิณระบุว่าเป็นโควิด-19 อยู่ในห้องไอซียู 9 วัน แล้วยังมีฝ้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก ตนก็ป่วยเป็นโควิด-19 คนไทยหลายล้านคนก็เป็นโควิด โดยโรคโควิด-19 เกิดตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งนายทักษิณเป็นตั้งแต่ปีแรกๆ ตอนนั้นยังไม่มีวัคซีนรักษา ก็อาจจะมีฝ้าที่ปอด ซึ่งอาจจะเหมือนคนสูบบุหรี่นานๆ ก็อาจจะเป็นฝ้าที่ปอดก็รักษาไป ไม่มีโรคอะไรร้ายแรง ซึ่งจากการสอบถามจากแพทย์พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าดูจากที่เห็นในภาพข่าว นายทักษิณมีสุขภาพแข็งแรง 90 เปอร์เซ็นต์ แต่อาการป่วยเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจจะหลงเหลืออยู่

“ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบ ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) ตรวจสอบว่าข้าราชการเอื้ออำนวยต่อนายทักษิณหรือไม่ ย้ำว่าจะต้องเร่งมือซึ่งทราบว่าอยู่ระหว่างการหาข้อมูล เพื่อที่จะส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าจะมีมติให้ไต่สวนหรือไม่ ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการของวุฒิสภา 2 คณะ ได้ส่งเอกสารที่มีการสอบไปแล้วให้กับ ป.ป.ช. ส่วนตัวจึงเห็นว่า ป.ป.ช. ควรมีมติไต่สวนเพิ่มเติม โดยไต่สวนและผู้ที่รับผิดชอบคือ 1.นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับรัฐบาล ประธาน ก.ตร. เป็นผู้ดูแลโรงพยาบาลตำรวจ ว่าการเจ็บป่วยที่รักษา 180 วัน โดยแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งขึ้นมาจากแพทย์ใหญ่ และแพทย์ทำการรักษา มีข้อเท็จจริงประการ เวชระเบียน ซึ่ง ป.ป.ช. มีอำนาจเรียกมาตรวจ หากผิดไปจากความเป็นจริงก็จะเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของส่วนแพทย์” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า นอกจากนี้หน่วยที่ 2 ที่จะต้องมีการตรวจสอบ คนที่รับผิดชอบคือ รมว.ยุติธรรม ปลัดยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คณะกรรมการพักโทษ จะต้องมีการสอบสวนว่าได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการอนุมัติตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 66 ด้วยระบบที่ถูกต้องหรือไม่ให้นายทักษิณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ และการอนุมัติให้รักษาตัวต่อในโรงพยาบาลเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ และส่วนที่ 3 ที่ต้องถูกตรวจสอบคือกรมคุมประพฤติ ในการอนุญาตให้ไปพักโทษในการคุมขังนอกเรือนจำตามระเบียบ ซึ่งในเงื่อนไข 8 ประการ มีกำหนดห้ามดื่มเหล้า ที่หมายถึงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แต่กรณีการอนุญาตให้ดื่มไวน์ได้ รวมถึงการอนุญาตให้ไปไหว้สุสาน แต่กำหนดการที่สื่อมวลชนได้รับจากการเผยแพร่เปรียบเป็นกำหนดการตรวจราชการ กำหนดการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนของนักโทษ ไปสวนสัตว์ไนท์ซาฟารี เมื่อเปรียบเทียบกับบรรทัดฐานที่ปฏิบัติกับนักโทษรายอื่น

”ที่กล่าวมาเป็นการทำหน้าที่ในฐานะวุฒิสภา ตรวจสอบแทนประชาชนตรงไปตรงมาตรง ไม่ได้มีอคติใดๆ กรณีนายทักษิณกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้นเห็นด้วย แต่กรณีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งนายกรัฐมนตรีและข้าราชการประจำ หากมีการเอื้ออำนวยให้เกิดปัญหาการบิดเบี้ยวและทำให้เสื่อมศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม และเกิดวิกฤติศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะนำไปสู่วิกฤติศรัทธาในอนาคต โดยจะนำเข้าสู่กรรมาธิการต่อไป พร้อมจี้ ป.ป.ช. ดำเนินการตรวจสอบโดยเร็ว เพื่อให้ความแคลนใจของสังคมหมดไป” นายสมชาย กล่าว.