เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่ห้องบอลลูม 3 ชั้น 7 โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ สุขุมวิท 22 เขตคลองเตย กทม. นายณัฐวิชช์ เนติจารุโรจน์ พร้อมด้วย นายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทีมทนายความของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หรือบิ๊กโจ๊ก ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ชี้แจงกรณีพนักงานสอบสวนออกหมายเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฯ ฟอกเงิน ในคดีเว็บพนันออนไลน์ “BNK Master”

นายณัชวิชช์ กล่าวว่า ตนได้รับหน้าที่มาเป็นที่ปรึกษากฎหมายของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อมาชี้แจงข้อเท็จจริง ทั้งเรื่องเงินมำบุญถวายกฐินพระราชทาน และตั๋วเครื่องบิน ซึ่งปรากฏตามสื่อมวลชนนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นายณัฐวิชช์ กล่าวว่า สำหรับประเด็นความเชื่อมโยงทางการเงินของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับเว็บพนัน BNK Master ทีมทนายความได้ตรวจสอบพยานหลักฐาน และบัญชีทั้งหมด 34 บัญชี และสอบถามกับเจ้าตัวพร้อมเอกสารประกอบ ก็ไม่พบความเชื่อมโยงแต่อย่างใด แต่กลับมีความพยายามนำไปผูกโยงกับคดีเว็บพนันมินนี่ ในพื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ให้ไปถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งพบว่าเส้นทางการเงินของผู้ต้องหาในคดีมินนี่ มีบัญชีของ น.ส.พิมพ์วิไล แอดมินผู้ทำเว็บ เชื่อมโยงกับบัญชีของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ อดีตรอง ผกก.สส.สภ.สำโรงเหนือ ลูกน้องของบิ๊กโจ๊ก และยังมีการโอนเงินจาก น.ส.พิมพ์วิไล กว่าสิบล้านบาท ไปยังผู้ต้องหาในคดีเว็บ BNK MASTER ของ สน.เตาปูน ดังนั้นคดีนี้จึงเกี่ยวข้องกับคดีมินนี่ ที่อยู่ในอำนาจการสอบสวนของ ป.ป.ช. ซึ่งพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ

นายณัฐวิชช์ กล่าวต่อว่า ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่า วงเงินหมุนเวียนในบัญชีของคดีเว็บ BNK MASTER รวมกว่า 400-600 ล้านบาท ยังเข้าข่ายความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ แต่กลับไม่มีการส่งเรื่องไปให้ และในคดี BNK MASTER ยังมีบัญชีของตำรวจรวมอยู่ด้วย แต่กลับออกหมายจับเพียงบางราย มีพฤติกรรมปกปิดข้อมูลใด “เหมือนอินทรีเลือกเหยื่อ” หรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมา มีการทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับ ผบ.ตร. ในการเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนมาแล้วถึง 3 ครั้ง เพราะเกรงว่าจะทำงานอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ไม่มีการตอบรับกลับมา ซึ่งได้ทำเรื่องร้องขอไปยัง ป.ป.ช. ในการดูแลคดีแล้วเช่นกัน

ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะไปรายงานตัวตามหมายเรียกหรือไม่นั้น เจ้าตัวยังไม่ได้ตอบรับ แต่ทีมทนายจะพิจารณาว่า คณะทำงานของคดีนี้ มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนทางคดีหรือไม่ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมี เนื่องจาก ป.ป.ช. ได้รับเรื่องไปแล้ว

นายวราชันย์ กล่าวว่า กรณีการนำเสนอข่าว พบใบอนุโมทนาบัตรในชื่อของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่บริจาคเงินวัดศาลาปูน 2 แสนบาทเกี่ยวข้องกับการใช้บัญชีม้าฟอกเงินหรือไม่นั้น พบว่าข้อมูลของเอกสารฉบับนี้ ถูกนำมาเผยแพร่หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเข้าตรวจค้นจับกุม พ.ต.ท.คริษฐ์ ได้ยึดเอกสารต่างๆ ในรถของผู้ต้องหา โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงสั่งให้ผู้ใกล้ชิดตรวจสอบ ก่อนจะพบว่า บัญชีที่มียอดตรงกับใบอนุโมทนาบัตรฉบับนี้ เป็นบัญชีที่ พ.ต.ท.คริษฐ์ ใช้อยู่ ซึ่งได้สอบถามกับเจ้าตัวระบุว่า รายการโอนเงินดังกล่าว เกิดขึ้นวันที่ 9 ก.ย. 65 ซึ่งมี น.ส.หลุ่ย มอบเงินสดส่วนตัวให้ พ.ต.ท.คริษฐ์ นำไปใช้ทำบุญทอดกฐินกับวัดศาลาปูน โดย น.ส.หลุ่ย ให้ น.ส.จุ๊บแจง เลขาฯ ส่วนตัว ส่งรายชื่อกับข้อมูลส่วนตัวต่อ พ.ต.ท.คริษฐ์ ผ่านไลน์ ไปยื่นแก่วัดศาลาปูน เพื่อออกใบอนุโมนาบัตรแก่ น.ส.หลุ่ย ต่อมา พ.ต.ท.คริษฐ ได้โอนเงินพร้อมส่งสลิปการโอนเงินไปให้พระอาจารย์ในวัดศาลาปูน เพื่อร่วมทำบุญตามความประสงค์ และภายในวันเดียวกัน วัดศาลาปูนได้ออกใบอนุโมทนาบัตรในชื่อของ น.ส.หลุ่ย

นายวราชันย์ กล่าวต่อว่า สำหรับใบอนุโมทนาบัตรของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้น ลงวันที่ 29 ต.ค. 65 ในวันทอดกฐินพระราชทาน ที่เจ้าตัวเดินทางไปร่วมทำบุญด้วยตัวเอง พร้อมมอบเงินสดส่วนตัวกับเงินที่ได้รวบรวมมา ไปทำบุญให้วัดศาลาปูน ก่อนจะออกใบอนุโมทนาบัตรในวันเดียวดังกล่าง ซึ่งขณะนี้ทีมทนายความกำลังพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้เกี่ยวข้องที่นำข้อมูลมาเผยแพร่ เนื่องจากใบอนุโมทนาบัตรดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าแต่อย่างใด

ส่วนกรณีปรากฏทางสื่อโซเชียลว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำเงินที่ได้จากเว็บการพนัน ไปซื้อตั๋วเครื่องบินให้กับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ในราคา 13,100 บาท ทีมทนายได้ตรวจสอบแล้ว พบเป็นการซื้อตั๋วเครื่องบินแบบไปกลับ ของ พ.ต.ท.คริษฐ์ จำนวน 3 ที่นั่งของเจ้าตัว ภรรยาและบุตร ที่ซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายตั๋ว เพื่อเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปหาดใหญ่ โดยเดินทางไปวันที่ 11 มี.ค. 65 กลับวันที่ 13 มี.ค. 65 ซึ่งมีหลักฐานการสนทนาซื้อตั๋วกับตัวแทนผ่านทางไลน์ เชื่อว่าชุดจับกุม พ.ต.ท.คริษฐ์ ได้ยึดโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวเอาไว้ ก่อนมีการนำเสนอข่าวนี้ ไปเชื่อมโยงกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. แต่อย่างใด

ต่อมาเวลา 11.45.น. พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ อดีต ผบก.ศฝร.บช.น.1 ในผู้ต้องหาคดีมินนี่ กล่าวว่า ในฐานะผู้ต้องหาของคดีมินนี่ ขอชี้แจงถึงความเชื่อมโยงในเส้นทางการเงินของ น.ส.พิมพ์วิไล แอดมินเว็บ BNK MASTER ซึ่งพบว่า ในแถวที่หนึ่งพบความเชื่อมโยงไปยังบัญชีของ นายพล “ต.” ภรรยา “ก.” พี่สาว “จ.” พี่ชาย “ช.” ซึ่งเหตุที่ตนตกเป็นผู้ต้องหา สืบเนื่องมาจากการที่ตนได้ทำสำนวนคดีเป้รักผู้การ ใน จ.ชลบุรี เรียกเงินเว็บพนันกว่า 100 ล้านบาท โดยการสืบสวนในครั้งนั้น พบว่ามี พ.ต.อ. “ด.” มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำผิดกฎหมาย และยังมีธุรกรรมทางการเงินไปยังบุคคลอื่นอีกหลายราย โดยจำนวนหนึ่งพบเป็นตำรวจหญิง 2 นาย ที่มีความสัมพันธ์กับตำรวจระดับสูง รวมถึงการทำคดีกำนันนก ซึ่งสาเหตุที่ตนออกมาพูดครั้งนี้ ถือเป็นจังหวะและโอกาส ตอนนี้ไม่กังวล แม้จะเกิดอะไรขึ้นก็พร้อมน้อมรับ

ส่วนประเด็น พ.ต.ท.คริษฐ์ ใช้บัญชีม้าทำธุรกรรมการเงินนั้น หากเป็นบัญชีม้าจริง เข้ามาก็ต้องถอนเงินสดออกหมดไม่ให้เห็นเส้นทาง แต่กรณีนี้มีเส้นทางการเงินให้เห็นทั้งหมด และย้ำว่า ตนไม่ได้รู้จักกับ น.ส.มินนี่ จึงจะไปเรียกรับเงินได้อย่างไร สำหรับการแจ้งความดำเนินคดีกับ ผบ.ตร. ก็ถือเป็นการใช้สิทธิ เพราะตนได้รับโอนเงินจาก พ.ต.ท.คริษฐ์ เพียง 9 ครั้ง ก็ต้องเป็นผู้ต้องหา แต่ในคดียังมีตำรวจบางนายที่รับโอนเงินมากกว่า แต่กลับไม่ตกเป็นผู้ต้องหา

ทั้งนี้ ทีมทนายความเตรียมนำหลักฐานซึ่งเป็นข้อมูลทางการเงินทั้งหมดของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เกี่ยวข้องยศตั้งแต่ “พล.ต.ต.-ด.ต.” จำนวน 30 ราย จากทั้งหมด 34 ราย ซึ่งมีรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจรายอื่นๆ อีกจำนวนมาก และยังไม่มีการถูกออกหมายเรียก หรือหมายจับ ส่งมอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช., ดีเอสไอ, ผู้ตรวจการแผ่นดิน และนายกรัฐมนตรี เว้นแต่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากมองว่าไม่มีความชอบธรรม เพื่อให้ดำเนินการสอบสวนต่อไป.