สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ว่า นางโม โม เทต ซาน หญิงชาวเมียนมา ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองเมียวดี ในรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเมียนมา และมีพรมแดนติดกับอำเภอแม่สอด ในจังหวัดตาก ทางตะวันตกของไทย กล่าวระหว่างต่อแถวพร้อมบุตรชาย เพื่อรอรับการตรวจเอกสารจากเจ้าหน้าที่ ว่าตัดสินใจเดินทางมาขอหลบภัยที่ฝั่งไทยก่อน เพราะเชื่อมั่นในความปลอดภัย


นางโม โม เทต ซาน วัย 39 ปี กล่าวต่อไปว่า การสู้รบในเมืองเมียวดี ที่มีการโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วง สร้างความหวาดกลัวอย่างหนักให้กับเธอและครอบครัว แต่เมื่อข้ามฝั่งมาหลบภัยที่ไทย เธอเชื่อมั่นว่า ทั้งกองทัพเมียนมา และกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) “ไม่มีทางทิ้งระเบิดใส่ไทย”


ทั้งนี้ ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ของไทย ณ จุดผ่านแดนแม่สอด ระบุว่า โดยปกติสถิติการข้ามแดนของชาวเมียนมาอยู่ที่ประมาณ 2,000 คนต่อวัน ทว่านับตั้งแต่การสู้รบทวีความรุนแรงในสัปดาห์นี้ มีผู้เดินทางข้ามแดนจากเมืองเมียวดีเพิ่มเป็นเกือบวันละ 4,000 คน


ขณะที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลไทยมีแผนรับมือ “การไหลทะลัก” ของคลื่นผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา จากการสู้รบในเมืองเมียวดี แต่ฝ่ายไทยขอเรียกร้องให้คู่กรณียุติการใช้ความรุนแรง โดยอยากให้เจรจากัน และมีความยินดีหากมีการต้องการให้รัฐบาลไทยเป็นคนกลาง

AFP


เกี่ยวกับทหารเมียนมาราว 200 นาย ซึ่งถอนกำลังออกจากฐานที่มั่น ในเมืองเมียวดี ไปอยู่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 หากจากอำเภอแม่สอดประมาณ 2 กิโลเมตร นายปานปรีย์ กล่าวว่า “ยังไม่ได้รับการประสานงาน” เกี่ยวกับการขอข้ามแดนของทหารกลุ่มนี้


อย่างไรก็ตาม หากมีการประสานงานมา ทหารทุกนายต้องวางอาวุธ เปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดพลเรือน ก่อนที่ทางการไทยจะอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในประเทศ.

เครดิตภาพ : AFP