ตามที่มีข่าวกรณีชายอายุ 46 ปี ซิ่งรถหรูเมาแล้วขับ โดยปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่า 180 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และพยายามฝ่าด่านแผงกั้นตำรวจ ซึ่งช่วงแรกไม่ยอมให้เป่าปริมาณแอลกอฮอล์ และมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นลูกชายของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงหนึ่ง ซึ่งมีข่าวออกมาอีกว่า คาดว่าเป็นกระทรวงสาธารณสุขนั้น

เมื่อวันที่ 19 เม.ย. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ผ่านรายงาน “เที่ยงวันทันเหตุการณ์” ทางช่อง 3 ว่า ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขาโตแล้ว และแยกครอบครัวไปแล้ว แต่จะโทรฯ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น จริงๆ เขาเป็นเด็กดี แต่ตนก็ไม่ทราบรายละเอียด หลายวันนี้งานเยอะ ตนอยู่ต่างจังหวัด ยังไม่มีใครบอกเรื่องนี้ เราต้องเคารพกฎหมาย และบอกว่า เมาแล้วขับ แต่ตำรวจบอกว่าให้หยุด ก็ต้องขอบคุณเขาแล้ว

ด้าน นายธีระ วัชรปราณี ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแยกประเด็นประการแรก คือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวกับใคร เป็นตำแหน่งอะไร หรือเกี่ยวข้องกับใคร เป็นพฤติกรรมที่พบได้โดยทั่วไปในสังคม แม้จะมีการรณรงค์ มีการใช้กฎหมายต่างๆ อย่างต่อเนื่องเป็นสิบๆ ปี เหตุเพราะไม่เกรงกลัวผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งข้อเท็จจริงมี 3 ปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเมาแล้วขับได้ ดังนี้ 1. การดำเนินการตามกฎหมาย ตั้งแต่ต้นทาง ตั้งแต่การคัดกรอง การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ การตั้งด่าน ตรงจุดนี้ยังให้ความสำคัญน้อย ทั้งเจ้าหน้าที่ อุปกรณ์การตรวจวัดต่างๆ อย่างสถิติการตรวจวัดแอลกอฮอล์ ยังมีสัดส่วนต่ำมาก หากสามารถแก้ไขจนทำให้ทุกคนตระหนักรู้ว่า ถ้าเมาเมื่อไหร่ต้องถูกตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์อย่างแน่นอน ก็จะทำให้ระมัดระวังขึ้น แต่ที่ผ่านมาคิดว่าไม่ถูกตรวจ จึงยังขับรถทั้งที่เมาอยู่ 

2.เมื่อตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์พบว่า มีค่าสูงเกินมาตฐาน ผิดกฎหมาย จนถึงขั้นดำเนินคดี หรือแม้แต่เกิดอุบัติเหตุแล้ว เรามักจะพบการบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ตรงนี้ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายจริงจัง ให้ทุกคนต้องตรวจ และ 3. สุดท้ายเมื่อมาถึงขั้นตอนการพิจารณาคดี ก็จะเป็นการรอลงอาญา ซึ่งควรมีการปรับกฎหมาย บทลงโทษให้มากขึ้น ไม่ต้องรอลงอาญาอีกต่อไป

“จริงๆ อยากเรียกร้องประเด็นบทลงโทษ ดื่มแล้วขับ เหมือนกรณีเคสนี้ ยังไม่เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งโทษเหลือรอลงอาญา แต่จะดีกว่าหรือไม่ หากมีการปรับบทลงโทษให้ติดคุก เนื่องจากมีเจตนาเล็งเห็นผล เพราะดื่มแล้วขับ ย่อมมีโอกาสไปทำร้ายคนอื่น แบบนี้ไม่ใช่ประมาท เพราะคุณเจตนาแล้วว่าจะขับ ทั้งที่เมา ดังนั้น เมื่อตรวจจับเจอว่า เมาแล้วขับ ต้องไม่ลงโทษลักษณะประมาท” นายธีระ กล่าว

นายธีระ กล่าวต่อว่า หากทั้ง 3 อย่างรณรงค์อย่างเข้มแข็ง ก็จะดีขึ้นเหมือนประเทศพัฒนาแล้ว การสร้างจิตสำนึกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยกฎหมายที่เข้มแข็งจริงๆ การสร้างจิตสำนึกที่ทำได้จริงไม่น่าเกิน 5-10% แต่กฎหมายจะสร้างจิตสำนึกประชาชนโดยรวมได้ 100% แต่อย่างกฎหมายก็ต้องบังคับใช้จริงจังด้วย ซึ่งเชื่อว่า ประเทศไทยทำได้ เพียงแต่ที่ผ่านมาขาดความมุ่งมั่นตั้งใจ แต่หากผู้นำประเทศ นักการเมือง จริงจังกับเรื่องนี้ ทุกอย่างย่อมทำได้

เมื่อถามว่า ประเด็นที่ลูกชาย รมต.ช่วย กระทำเองนั้น จะส่งผลต่อการรณรงค์ของ สธ. เพราะคนจะไม่เชื่อถือหรือไม่ นายธีระ กล่าวว่า เรื่องนี้เห็นใจ รมช.สาธารณสุข เพราะคงไม่อยากให้เกิดขึ้น แบบนี้เป็นโจทย์ของครอบครัว ความเป็นพ่อ ความเป็น รมต. เป็นบทเรียนให้กับทุกครอบครัว ยิ่งเป็นบุคคลสาธารณะ ก็พึงเป็นตัวอย่าง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องครอบครัวด้วย และคิดว่าไปดูโครงสร้างปัญหาใหญ่ดีกว่า และการบังคับใช้กฎหมายก็อย่าเลือกปฏิบัติ

“ผมมองว่า ประเด็นอยู่ที่การรอลงอาญา คนทั่วไปก็จะทำผิดซ้ำได้ ดังนั้น ต้องแก้ พ.ร.บ.จราจรฯ เพิ่มโทษจาก 10 ปี เป็น 12 ปี หากเพิ่มขึ้น ศาลก็จะลงโทษกึ่งหนึ่ง เหลือ 6 ปี ก็จะไม่รอลงอาญา เพราะทางคดีเกิน 5 ปี จะไม่รอลงอาญา” นายธีระ กล่าว

เมื่อถามว่ากรณีเมาแล้วขับ ถือเป็นสาเหตุที่เราสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับกระทรวงสาธารณสุข ที่ไม่เอื้อนายทุนหรือไม่ นายธีระ กล่าวว่า ใช่ เป็นสาเหตุที่ไม่ควรปรับกฎหมายให้เอื้อธุรกิจน้ำเมา เพราะอย่าลืมว่า ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ใช้เรื่องลดราคา หรือลดแลกแจกแถม เพื่อเพิ่มการดื่ม เป็นการจูงใจเกิดนักดื่มเพิ่มขึ้น และยิ่งไม่มีมาตรการเข้มอย่างที่ตนกล่าวข้างต้น การกระตุ้นนักดื่ม ก็ยิ่งทำให้คนเมาออกสู่ถนนมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น กฎหมายจึงเป็นเครื่องมือสำคัญ และหวังว่าการปรับ ครม. ครั้งนี้ จะไม่ส่งผลต่อทิศทางความเข้มแข็งของกฎหมาย โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ ฉบับกระทรวงสาธารณสุข.