จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ พบว่าในปี 2564 มีขยะมูลฝอยเกิดขึ้นประมาณ 24.98 ล้านตัน เป็นปริมาณขยะมูลฝอยที่ถูกคัดแยกและนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ 7.89 ล้านตัน ปริมาณขยะมูลฝอยที่ถูกกำจัดอย่างถูกต้อง 9.28 ล้านตัน ดังนั้น จึงมีขยะมูลฝอยกว่า 7.81 ล้านตันที่ถูกกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง รวมถึงปริมาณขยะมูลฝอยที่ถูกเก็บขนมากำจัดนั้น ส่วนหนึ่งเป็นขยะที่นำกลับไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ด้วยประชาชนไม่มีการคัดแยกขยะ ทำให้ต้องเสียงบประมาณเก็บขนและบางส่วนเกิดการปนเปื้อนจึงต้องทิ้งเป็นภาระต่อระบบกำจัด 

นางกัญชลี นาวิกภูมิ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า เป้าหมายการจัดการขยะของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ขณะนี้ กรมควบคุมมลพิษมีการจัดการปัญหาขยะของประเทศด้วยมาตรการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดการเกิดขยะที่แหล่งกำเนิด การเพิ่มศักยภาพในการจัดการขยะเพื่อหมุนเวียนทรัพยากรตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงการส่งเสริมการบริหารจัดการขยะอย่างถูกวิธี ซึ่งการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน เช่น เครือข่ายองค์กรความร่วมมือจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน (Packaging Recovery Organization Thailand Network) หรือ PRO – Thailand Network จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการช่วยจัดการปัญหาบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว โดยเน้นการคัดแยกและการเก็บรวบรวมบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเพื่อส่งกลับไปรีไซเคิลหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ

“ การจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วโดยการขับเคลื่อนของภาคเอกชนนั้น จะมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จได้ต้องมีแรงสนับสนุนทางด้านกฎหมายจากภาครัฐ ดังนั้น กรมควบคุมมลพิษ จึงได้จัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนของประเทศไทย ภายใต้หลักการ Extended Producer Responsibility หรือ หลักการ EPR ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่ของบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ต้นทางคือการออกแบบ จนถึงปลายทางคือการกำจัดหรือการนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรม อันจะนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทยได้อย่างแท้จริง  โดยหลักการ EPR เป็นหลักการที่ใช้อย่างแพร่หลายและทำให้การจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วประสบความสำเร็จในหลายประเทศ แต่การนำหลักการ EPR มาใช้ก็จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย ทางกรมควบคุมมลพิษจึงเปิดโอกาสให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคม เข้ามาร่วมมือกันพัฒนากฎหมาย EPR ที่เหมาะสมและสามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ทั้งนี้กรมฯ พร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในการพัฒนาเครื่องมือและมาตรการสนับสนุนเพื่อทดลองการดำเนินงานโมเดลองค์กรที่รับผิดชอบการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน (Producer Responsibility Oraganization) ในรูปแบบแซนบ๊อกซ์ (Sandbox) ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมการเก็บรวบรวมและการคัดแยกบรรจุภัณฑ์ที่่ใช้แล้ว ทั้งในกลุ่มบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภคที่มีมูลค่า สามารถขายได้ เช่น ขวดพลาสติก PET, กระป๋องอะลูมิเนียม, ขวดแก้ว และในกลุ่มบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภคที่ไม่มีมูลค่า เช่น กล่องเครื่องดื่มยูเอชที ซองขนม ถุงน้ำยาชนิดเติม เพื่อนำไปรีไซเคิลหรือจัดการ

อย่างยั่งยืน

ด้านคณะผู้บริหารของ PRO – Thailand Network กล่าวว่า “การทำงานของ PRO-Thailand Network เน้นการจัดการตลอดช่วงชีวิตของบรรจุภัณฑ์ ตั้งแต่ต้นทาง คือ การออกแบบและเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อนำมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงปลายทาง คือ การเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วจากภาคประชาชน เพื่อนำไปรีไซเคิลหรือแปรรูปนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น โดยดำเนินการผ่านโครงการนำร่องภายใต้ความร่วมมือกับมูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน หรือมูลนิธิ 3R นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับกรมควบคุมมลพิษและภาคเอกชนอื่น ๆ ในช่วงที่ยังเป็นการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตด้วยความสมัครใจ เพื่อศึกษาและพัฒนาองค์กรที่รับผิดชอบการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน หรือ PRO ของประเทศ รวมถึงพัฒนา (ร่าง) กฎหมายการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนที่ใช้งานได้จริง”

สำหรับเครือข่ายองค์กรความร่วมมือจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน (Packaging Recovery Organization Thailand Network) หรือ PRO – Thailand Network ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2562 จากการรวมกลุ่มโดยสมัครใจของภาคเอกชน อาทิ ผู้เป็นเจ้าของตราสินค้า ผู้ผลิตสินค้า และผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งสิ้น 7 บริษัท ได้แก่ บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท เอส ไอ จี คอมบิบล็อค จำกัด ซึ่งต่างให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและมีนโยบายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนในระดับโลก