เมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ชั้น 2 กรมราชทัณฑ์ จ.นนทบุรี กรมราชทัณฑ์ นพ.สมภพ สังคุตแก้ว ผู้ตรวจราชการกรม นางอาจารี ศรีสุนาครัว ผอ.ทัณฑสถานหญิงกลาง และ นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ ผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ร่วมกันแถลงกรณี น.ส.เนติพร หรือ บุ้ง ทะลุวัง เสียชีวิตในขณะอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมราชทัณฑ์ โดย นพ.สมภพ กล่าวว่า จากกรณีเสียชีวิตดังกล่าว รัฐบาลต้องขอแสดงความเสียใจสุดซึ้งไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า กรมราชทัณฑ์ได้รับตัว น.ส.เนติพร มาควบคุมตัวไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลางเมื่อวันที่ 26 มกราคม โดยขณะนั้นได้อดอาหารอยู่แล้ว ซึ่งทัณฑสถานหญิงกลางได้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพบว่ามีอาการอ่อนเพลียจากภาวะอดอาหาร จึงส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลทัณฑสถานหญิงกลาง

‘นายกฯ’ เสียใจครอบครัว ‘บุ้ง ทะลุวัง’ ลั่นรัฐบาลให้ความเป็นธรรม

จากนั้นวันที่ 29 กุมภาพันธ์-8 มีนาคม ได้ส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ จากอาการอ่อนเพลีย จากนั้นวันที่ 8 มีนาคม-4 เมษายน ได้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ เป็นเวลา 27 วัน และมีรายงานว่าปฏิเสธการรับสารอาหาร ยาบำรุงเลือดต่างๆ ด้วยเช่นกัน และยังอยู่ในภาวะทั่วไปที่สามารถรับประทานอาหารเองได้ จึงมองว่าไม่น่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น กระทั่งวันที่ 4 เมษายน แพทย์โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ได้มีหนังสือส่งตัวกลับมารักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เนื่องจากเห็นว่าสามารถรักษาต่อได้

หลังจากที่ น.ส.เนติพร กลับมาจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ แล้วสามารถรับประทานอาหารได้บ้างตามลำดับ ทางโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้จัดให้พักในห้องผู้ป่วยรวมที่มี น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ เพื่อนสนิท โดยทั้งสองพักอยู่ด้วยกัน ยืนยันว่าแพทย์และพยาบาลได้เฝ้าตรวจรักษาอาการอยู่ตลอดเวลา ขณะนั้นพบว่า น.ส.เนติพร รู้สึกตัวดีมีอาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ กระทั่งวันเกิดเหตุวันที่ 14 พฤษภาคม เวลาประมาณ 06.00 น. น.ส.เนติพร เกิดอาการวูบหมดสติไปขณะกำลังพูดคุยกับ น.ส.ทานตะวัน เจ้าหน้าที่จึงให้การช่วยเหลือและกระตุ้นหัวใจทันที พร้อมประสานส่งตัวไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ กระทั่งมีรายงานว่าเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ยืนยันว่า กระทรวงยุติธรรมโดยกรมราชทัณฑ์ได้ให้ความสำคัญตามหลักสิทธิมนุษยชนสิทธิขั้นพื้นฐานและหลักนิติธรรม เฝ้าระวังและดูแลรักษาอาการของ น.ส.เนติพร อย่างใกล้ชิด และเพื่อความโปร่งใส กระทรวงยุติธรรมได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเรื่องสาเหตุการเสียชีวิตของ น.ส.เนติพร ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตจะชี้แจงให้ทราบอีกครั้งเมื่อผลการชันสูตรออกมาอย่างชัดเจน

สำหรับอาการของ น.ส.เนติพร นั้น นพ.สมภพ กล่าวว่า ก่อนจะเกิดภาวะช็อก น.ส.เนติพร มีอาการปกติทุกอย่าง และขณะที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ก็มีรายงานว่าปฏิเสธการรับสารอาหาร ยาบำรุงเลือดต่างๆ ด้วยเช่นกัน และยังอยู่ในภาวะทั่วไปที่สามารถรับประทานอาหารเองได้ จึงมองว่าไม่น่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น และในเช้าวันเกิดเหตุก็ยังสามารถคุยกับ น.ส.ทานตะวัน ได้ตามปกติ กล่าวเพียงว่ามีอาการปวดหัว

สำหรับแนวทางปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์ต่อผู้ต้องขังที่มีเจตนารมณ์อดอาหารนั้น นพ.สมภพ กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มต้นจะส่งนักจิตวิทยาเข้าไปพูดคุยและโน้มน้าว แต่หากผู้ต้องขังยังยืนยันเจตนาเดิม ทางกรมราชทัณฑ์ก็จะใช้แนวทางปฏิบัติทางการแพทย์ ทั้งด้านจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์เข้าประเมินร่างกาย หากพบว่าเกิดภาวะที่มองว่าน่าจะเกิดอันตราย เกินศักยภาพของสถานพยาบาลเรือนจำก็จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย

นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ ผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ กล่าวว่า ตั้งแต่หลังวันที่ 4 เมษายน ที่กลับจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ น.ส.เนติพร ยังคงมีอาการอ่อนเพลีย แต่สามารถรับประทานอาหารได้บ้างตามลำดับ เช่น ข้าวต้ม ไข่เจียว โดยจัดหาอาหารให้ทั้ง 3 มื้อ และยืนยันว่าที่ผ่านมาได้มีการแนะนำกับ น.ส.เนติพร โดยตลอดว่า การอดอาหารอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่ง น.ส.เนติพร รับทราบอย่างต่อเนื่องแต่ยังยืนยันในแนวทางเดิม โดยมีเจตจำนงที่จะปฏิเสธรับเกลือแร่หรือวิตามิน ยืนยันว่าให้การรักษาและดูแลตามมาตรฐาน ก่อนเกิดเหตุไม่มีภาวะวิกฤติ อย่างไรก็ตาม ในการนำตัว น.ส.เนติพร ไปโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯนั้น ไม่ได้ใช้เครื่อง AED หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจ เพราะไม่มีข้อบ่งชี้

ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงข้อมูลลำดับเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ รวมถึงขั้นตอนการช่วยเหลือกู้ชีพ น.ส.เนติพร ทั้งหมด ผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์และผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ยังคงมีความสับสนและให้ข้อมูลไม่ตรงกัน เช่น ช่วงแรกผู้ตรวจฯกล่าวว่าไม่พบสัญญาณชีพของ น.ส.เนติพร จึงฉีดยากระตุ้นหัวใจ แต่ภายหลังแพทย์ให้ข้อมูลว่า มีสัญญาณชีพอ่อน ผู้ต้องขังที่ได้รับการฝึกให้เป็นผู้ช่วยพยาบาลจึงได้ CPR ที่เตียงนอน จนมีสัญญาณชีพกลับมา ก่อนเจ้าหน้าที่นำตัว น.ส.เนติพร ลงไปห้องรักษาพยาบาล

รวมถึงข้อมูลก่อน น.ส.เนติพร จะหมดสติไปที่ตอนแรกให้ข้อมูลว่า ลุกไปเข้าห้องน้ำและมีการพูดคุยกับ น.ส.ทานตะวัน ว่าปวดท้องหรือไม่ และกลับมานอนข้างกัน แต่ภายหลังให้ข้อมูลว่า น.ส.ทานตะวัน เป็นผู้ลุกไปเข้าห้องน้ำ และบุ้งนอนอยู่ที่เตียง ก่อนที่สุดท้ายทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้แก้ไขว่า ยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนลุกไปเข้าห้องน้ำกันแน่ แต่หลังกลับจากเข้าห้องน้ำแล้ว บุ้งและทานตะวันมีการพูดคุยกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้ามาวัดความดัน หลังจากนั้น 2 นาที บุ้งมีอาการกระตุก 1-2 ครั้ง เจ้าหน้าที่ตรวจไม่พบสัญญาณชีพ เป็นต้น

นอกจากนี้ผู้แทนดังกล่าวยังให้ข้อมูลสับสนว่า น.ส.ทานตะวัน เห็นเหตุการณ์ขณะ บุ้ง กระตุกหรือไม่ ซึ่งตอนแรกให้ข้อมูลว่าเกิดเหตุขณะตะวันหลับอยู่ แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นไปได้อย่างไร เมื่อมีคนหนึ่งไปเข้าห้องน้ำอยู่ ผอ.รพ.จึงให้ข้อมูลใหม่ว่า ตะวันเองก็วัดความดันอยู่เช่นกัน ขณะที่บุ้งเกิดอาการกระตุก ซึ่ง ผอ.รพ.อ้างว่าได้ดูเพียงกล้องบันทึกภาพขณะเกิดเหตุเท่านั้น แต่ช่วงอื่นๆ นั้นไม่ทราบ และไม่ได้ดูกล้องวงจรปิด จึงไม่สามารถให้รายละเอียดที่ชัดเจนได้ ทำให้ผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ได้ตำหนิ ผอ.รพ.ว่า ผอ.ยังสับสนในคำถาม ไม่เข้าใจและไม่สามารถลงลึกในรายละเอียดได้ แต่ผู้ตรวจฯ ยืนยันว่าได้ดำเนินการตามมาตรฐานการกู้ชีพทั้งหมด เป็นไปตามจรรยาบรรณของแพทย์ พร้อมอ้างว่าเป็นข้อมูลที่ลึกเกินไป แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง

ขณะเดียวกันมีรายงานอาการของทานตะวัน และแฟรงค์ ที่ยังอยู่ในโรงพยาบาลว่า อาการแข็งแรงดี และกลับมารับประทานอาหารตามปกติแล้ว แฟรงค์สามารถทานอาหารได้มากขึ้นและเดินได้ ส่วน น.ส.ทานตะวัน ยังคงมีภาวะเครียดและอาการซึมเศร้า กลับมารับประทานอาหารได้น้อย ซึ่งทางโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ส่งจิตแพทย์เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ทางกรมราชทัณฑ์จะมีมาตรการในการป้องกันเหตุซ้ำรอยอีกหรือไม่ นพ.สมภพ กล่าวว่า ราชทัณฑ์ได้ดำเนินการตามมาตรฐานอยู่แล้ว แต่หากเกิดเหตุจนถึงแก่ชีวิตนั้นไม่มีแพทย์ที่ไหนจะยื้อชีวิตได้ แม้กระทั่ง น.ส.เนติพร เองก็ทำนิติกรรมไว้แล้วล่วงหน้า เนื่องจากมีความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ และเราไม่สามารถแตะต้องอะไรได้ เราช่วยชีวิตได้ แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นก็เป็นที่เข้าใจกันอยู่

“ส่วนการป้องกันนั้นได้พยายามส่งนักจิตวิทยาเข้าไปโน้มน้าวแล้วอย่างเต็มที่ แต่หากเขายืนยันจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ร่างกายทนไม่ไหวแล้ว ราชทัณฑ์ทำได้เต็มที่ก็คือส่งให้แพทย์รักษาเท่านั้น ส่วนการจะให้เปลี่ยนใจนั้นทำไม่ได้เป็นเรื่องยาก หากร่างกายมาถึงจุดที่ไม่สามารถดูแลได้แล้วก็ยาก ต่อให้เป็นแพทย์เทวดาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้” นพ.สมภพ กล่าว