สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากเมืองค็อกซ์บาซาร์ ประเทศบังกลาเทศ เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ว่ามือปืนในบังกลาเทศสังหารครูและนักเรียนคนหนึ่ง ในค่ายผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจา เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธจะกลับไปสู้รบที่เมียนมา

เด็กชายและชายหนุ่มชาวโรฮีนจาหลายร้อยคนถูกจับกุมจากค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ ที่ซึ่งพวกเขามาแสวงหาความปลอดภัย หลังปฏิบัติการทางทหารของกองทัพเมียนมา เมื่อปี 2560 ส่งผลให้ชาวโรฮีนจาราว 750,000 คน ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยให้ข้อมูลว่า กลุ่มติดอาวุธโรฮีนจาซึ่งทำงานร่วมกับรัฐบาลทหารเมียนมา กำลังรับสมัครผู้ลี้ภัยเพื่อกลับไปสู้รบในเมียนมา

กลุ่มติดอาวุธกล่าวว่า ชาวโรฮีนจา จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรกับกองทัพเมียนมา แม้จะเป็นกองกำลังเดียวกับที่ขับไล่พวกเขาให้ลี้ภัย เพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูร่วมกัน จากกองกำลังชาติพันธุ์อีกแห่ง นั่นคือ กองทัพอาระกัน (เอเอ)

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ชายสองคน ได้แก่ นายนูร์ อับซาร์ วัย 22 ปี เป็นนักเรียน และครู คือ นายนูร์ ไฟซาล วัย 21 ปี ถูกสังหารในค่ายกูตูปาลอง เขตค็อกซ์บาซาร์ “คนหนึ่งเสียชีวิตทันที และอีกคนหนึ่งเสียชีวิตที่โรงพยาบาล” เจ้าหน้าที่ อาเรฟิน จิวเวล โฆษกตำรวจเมืองกูตูปาลอง ระบุ “เรากำลังสอบสวนว่า เกี่ยวข้องกับการบังคับสมัครเพื่อไปสู้รบในเมียนมาหรือไม่”

นายอาเหม็ด วัย 45 ปี บิดาของไฟซาลกล่าวโทษ องค์การความเป็นปึกแผ่นโรฮีนจา (อาร์เอสโอ) “พวกเขาไปที่โรงเรียนของลูกชาย และต้องการให้เขาเข้าร่วม” อาเหม็ดกล่าวต่อไปว่า “แต่ลูกชายของฉันปฏิเสธ” แล้วเล่าต่อว่า “นอกจากนี้ บุตรชายยังทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในชุมชนด้วย เพื่อช่วยเด็กและชายหนุ่มชาวโรฮีนจาคนอื่น ๆ จากการบังคับเกณฑ์ทหารโดยกลุ่มติดอาวุธ”

เช่นเดียวกับนายอาเหม็ด อามาน อุลลาห์ วัย 40 ปี บิดาของอับซาร์ ได้กล่าวโทษอาร์เอสโอ “มือปืนอาร์เอสโอยิงพวกเขา อาร์เอสโอฆ่าลูกชายของฉัน” เขากล่าว “พวกเขาพยายามให้อับซาร์เข้าร่วม ชื่อของพวกเขากลายเป็นความหวาดกลัวที่นี่”

ด้านนายโธมัส คีน จากองค์กรอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิส กรุ๊ป ซึ่งวิจัยเกี่ยวกับสงครามในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ระบุว่า “การสังหารอันน่าสลดใจตอกย้ำถึงภัยคุกคามที่ผู้ลี้ภัยต้องเผชิญ ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากกลุ่มติดอาวุธ” เขากล่าว “เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่กลุ่มเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติการโดยไม่ต้องรับโทษ และผู้ลี้ภัยเหล่านี้ก็อยู่ในจุดแตกหัก”

คีนระบุเพิ่มเติมว่า งานวิจัยของเขาชี้ให้เห็นว่าตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ลี้ภัยหลายพันคนถูกคัดเลือกโดยกลุ่มติดอาวุธโรฮีนจา และส่งกลับไปยังเมียนมา โดยนักรบโรฮีนจาจะต่อสู้ร่วมกับกองทัพเมียนมาในรัฐยะไข่

พวกเขากำลังสู้รบกับกองกำลังต่าง ๆ รวมไปถึงกลุ่มอาระกัน ที่ต้องการอำนาจในการ “ปกครองตนเอง” ในรัฐยะไข่ ซึ่งมีประชากรชาวโรฮีนจาอาศัยอยู่ราว 600,000 คน เมื่อต้นเดือนนี้นักรบอาระกันยึดครองเมืองบุติด่อง ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮีนจา และอยู่ไม่ไกลจากบังกลาเทศ

มากไปกว่านั้น ชาวโรฮีนจาพลัดถิ่นหลายกลุ่มอ้างว่า กลุ่มติดอาวุธบังคับให้พวกเขาหลบหนี จากนั้นก็เข้าปล้นสะดมและเผาที่อยู่อาศัยของพวกเขา และอ้างว่ากลุ่มอาระกันเรียกสิ่งนี้ว่า “โฆษณาชวนเชื่อ”

ตามรายงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ในกลุ่มผู้ลี้ภัยอย่างน้อย 1,870 คน ซึ่งมากกว่า 1 ใน 4 เป็นเด็กและเยาวชน ถูกเกณฑ์เข้าเป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ ในช่วงระยะเวลา 2 เดือนระหว่างเดือน มี.ค. ถึงเดือน พ.ค. ปีนี้ ซึ่งมากกว่า 3 ใน 4 ตกลงเข้าร่วมเพราะถูกใช้กำลัง อาทิ ถูกหลอกล่อ, ลักพาตัว และบีบบังคับ

ขณะเดียวกัน กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ออกแถลงการณ์ว่า “ตกใจ” กับการโจมตีครั้งนี้ “ยูนิเซฟขอประณามการโจมตีโรงเรียนใด ๆ ก็ตาม ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กเสมอ และสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ให้การศึกษาที่จำเป็นต่อพวกเขา” นายเชลดอน เยตต์ ผู้แทนองค์การยูนิเซฟบังกลาเทศ กล่าว.

เครดิตภาพ : AFP