ล่าสุดร่างคำแถลงนโยบายรัฐบาลได้บรรจุนโนบายดิจิทัลวอลเล็ตในคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา วันที่ 12-13 ก.ย.นี้ ด้วย โดยมีการเพิ่มข้อความให้ความสำคัญกับ “กลุ่มเปราะบาง” เติมลงไปในการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตด้วย สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจากรัฐบาลเดิม
แน่นอนว่ารูปแบบนโยบายเรือธง มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขบางส่วนของโครงการ โดยเฉพาะงบเพิ่มเติมปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ซึ่งจำเป็นต้องเร่งใช้จ่ายภายในเดือน ก.ย. 2567 โดยเงินก้อนแรกประมาณ 160,000 ล้านบาท โยกมาแจกให้กับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มเปราะบาง 16 ล้านคนเป็นลำดับแรก ส่วนงบประมาณที่เหลืออีก ประมาณ 290,000 ล้านบาท เป็นของงบประมาณ 2568 ซึ่งคาดว่าจะแจกเป็นเงินสดให้กับประชาชนทั่วไป เพราะเกรงปัญหาเรื่องข้อกฎหมายหากจ่ายเป็นดิจิทัล
ยังไม่ทันที่ “รัฐบาลแพทองธาร” จะเริ่มนับหนึ่งสตาร์ททำงานเสียงวิพากษ์วิจารณ์รุมโถมเข้าใส่ ตกอยู่ในเป้า “เครือข่ายต้านระบอบทักษิณ“ เตรียมปลุกม็อบลงถนน 17 ก.ย.นี้ คัดค้านนโยบายเรือธงอย่าง “ดิจิทัลวอลเล็ต” เพราะมองว่า ไม่เห็นด้วยกับนโยบายที่สุ่มเสี่ยง แม้มีเสียงทักทวง แต่รัฐบาลยืนกระต่ายขาเดียวเดินหน้าโครงการมั่นใจทุ่มหมดหน้าตักช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้พ้นจากอาการโคม่า ยิ่งเป็นการสุมเชื้อไฟโหมให้แรงยิ่งขึ้น
ตามรูปการณ์แล้ว “รัฐบาลมาดามแพทองธาร“ รับปากเดินหน้าแจกเงินดิจิทัลต่อ หันมาแจกเป็นเงินสดแทน แต่ก็ยังมีปัญหาเดิมๆตามมา จนหลายคนตั้งข้อสงสัยและเป็นคำถามคาใจว่า “จะเอาเงินมาจากไหน” ให้ครบ 4.5 แสนล้านบาท เพราะตามข้อมูลตัวเลขที่ได้มาเวลานี้ งบเพิ่มเติมปี 67 รวมกันแล้วมีเพียงแค่ 1.8 แสนล้านบาทเท่านั้น ที่ต้องใช้สำหรับแจกให้ครบ 45 ล้านคน ตามเป้าแผนใหม่
งานนี้หลายคนเริ่มจับตาว่า รัฐบาลกำลัง “กู้เพิ่ม” โดยการเสนอร่างงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในปี 68 หรือ อีกครั้งในเร็วๆ นี้หรือไม่ เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มีการเสนองบเพิ่มเติมปี 67 จำนวน 1.22 แสนล้านบาทไปแล้ว หากวิเคราะห์กันตรงๆ เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้สูง เพราะเมื่อพิจารณาจากเงินที่หามาได้ในเวลานี้ หากนำไปแจกดิจิทัลในเฟสแรก ภายในเดือน ก.ย.นี้ อาจไม่เพียงพอตามที่เป้าหมายไว้หรือไม่
ปฏิเสธไม่ได้ว่านาทีนี้ “รัฐบาลนาวาแพทองธาร” กำลังเผชิญกับปัญหาการเมืองแปรปรวน ฉุดเศรษฐกิจซวนเซ ประสบชะตากรรมเหมือนยุครัฐบาลอดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน อยู่ในอาการ “เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ลำบาก” เพราะแม้ว่าจะพลิกกลับลำมาเป็นแจกเงินสดตามเสียงเรียกร้องแล้วก็ตาม แต่ปัญหาใหญ่วนกลับมาที่เดิมคือ “จะหาเงินมาจากไหน” จ่ายให้ครบจำนวน 45 ล้านคน เพราะไม่ว่ามองไปทางไหนยังมองไม่เห็นทางนอกจากกู้เงินเพิ่ม.