ต่อมา มีการส่งรายชื่อรัฐมนตรีในโควตาพรรค เมื่อชื่อของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค พปชร. ขณะนั้น หลุดจากโผ ครม. โดยหัวหน้าพรรคบอกแค่ว่า “เขาไม่เอาๆๆ” ก็ชัดเจนว่า เป็นการแตกหักกับแม่บ้านพรรคที่มีอิทธิพลต่อ สส. ทำให้พรรค พปชร.แตกหักเป็นสองกลุ่มทันที ท่าทีผู้กองบอกชัด..ไม่เผาผีพรรคเก่า
พรรคเพื่อไทยก็ดูเหมือนรอโอกาสให้แตกมานานแล้ว เพราะโควตารัฐมนตรีก็เห็นชัดว่า “ถูกส่งให้กลุ่มผู้กอง” แทน ขนาดที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคขณะนั้น ต้องทำหนังสือมาทวงกับนายกฯ อิ๊ง ว่า “บิ๊กป๊อด”พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ยังไม่ได้ใบกรอกประวัติรัฐมนตรี
พปชร.กลายเป็นพรรคหัวแตก ฝ่ายค้านครึ่งรัฐบาลครึ่ง มีการทวงบุญคุณแบบคนฟังรู้สึก..เอิ่ม..กันกลางสภา คือในครั้งอภิปรายนโยบายรัฐบาล นายชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร พรรค พปชร.กล้าอภิปรายว่า “รัฐบาลนี้ตระบัดสัตย์ เมื่อครั้งโหวตนายกฯ พรรคที่โหวตให้ 39 เสียงกลับไม่ได้ร่วมรัฐบาล เหมือนหุงข้าวด้วยกันแล้วไม่ให้กิน”
ภาพลักษณ์ของพรรค พปชร.ยิ่งเละ เพราะต่อมา มีคลิปหลุดเสียงชายปริศนาออกมาพูดทำนองว่า “ถ้าจะร้องเรียน ให้เล่น ม.112 ใครเขียนจะช่วยดูคำร้องให้ เคยทำสำเร็จมาแล้วเมื่อครั้งพรรคไทยรักษาชาติ ( ทษช.)” อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะอึงกันให้มาก เพราะแสดงให้เห็นว่า มีขบวนการใช้ ม.112 เพื่อทำลายล้างทางการเมืองกันจริงๆ
เช่นนี้ฝ่ายการเมืองควรนำปัญหาการใช้กฎหมายกลั่นแกล้งนี้มาพิจารณาจริงๆ จังๆ เพราะการปล่อยไว้ให้ ม.112 กลายเป็นนิติสงคราม นอกจากกระทบผู้ฟ้องแล้ว ยังเป็นที่ระคายเคืองต่อสถาบัน และในฐานะรัฐบาลนี้ทำให้เกิด “คนอกหัก” พวกนี้ก็พร้อมเป็นนักร้องสกัดมันทุกทาง แบบ..เธอเป็นดอกไม้ ฉันจะเป็นขวากหนาม..ไปอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเลือกเลขาธิการพรรคคนใหม่ เก้าอี้ไปตกที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ทำให้หลายๆ คนที่เป็นคอการเมือง มองๆ แล้วก็คิดว่า ..พรรคไม่น่าจะไปได้ เพราะมัน “ขัดกับขนบ” ของการตั้งเลขาฯ พรรคของพรรคขนาดใหญ่ที่ผ่านๆ มา ซึ่งทางการเมือง “เขารู้กัน” ว่า ตำแหน่งเลขาธิการพรรคเป็นทั้งมือประสาน ทั้งกระเป๋าเงินของพรรค
ดูอย่างตำแหนงเลขาธิการพรรคไทยรักไทย สมัยนั้นก็นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มาวันนี้เพื่อไทยก็เทียนทอง , พรรคภูมิใจไทยก็ต้องเป็นพวกนามสกุลชิดชอบ พรรคประชาธิปัตย์ เลขาธิการพรรคมีบทบาททางการเมืองมาก อาทิ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ , นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จนมายุคนี้นายเดชอิศม์ ขาวทอง ก็มีอิทธิพลในภาคใต้อยู่พอสมควร
แต่มาดูกรณีนายไพบูลย์ ซึ่งเป็นหน้าใหม่ทางการเมือง ไม่มีลักษณะความเป็น “บ้านใหญ่” ไม่ทราบว่า บารมีในพรรคมีมากพอที่จะทำให้ สส.กลุ่มบ้านใหญ่สนับสนุนหรือไม่ อีกทั้งไม่รู้อีกว่า จะทำหน้าที่มือประสานสิบทิศได้ดีแค่ไหน เพราะเปิดหน้ามาทีก็จะเล่นงานคนอื่นเป็นคดีที ไม่ได้สร้างขวัญและกำลังใจให้ สส.ที่ยังอยู่ด้วยเท่าไร
อีแบบนี้ ถ้าให้ทาย กลุ่มบ้านใหญ่อย่างกลุ่มเพชรบูรณ์ กลุ่มเทียนทอง หรือกลุ่มปากน้ำ กลุ่ม สส.คะแนนสูงๆ อาจย้ายพรรค ถ้าบ้านใหญ่ผูกขาดพื้นที่ก็ง่ายหน่อย แต่พวกพื้นที่ที่เสียงสวิง คนย้ายไปก็ต้องไปอยู่พรรคที่ยังไม่มีคนลงพื้นที่นั้น เผลอๆ ไม่แน่แค่ปีนี้ เราอาจได้เห็น สส.พปชร.ฝั่งบิ๊กป้อมแปรพักตร์เพิ่มหรือไม่ ไม่ออกแต่อยู่กันไปอย่างนี้แหละ
และก็ไม่แน่ว่า หากเลือดไหลออก พปชร.เรื่อยๆ พรรคที่จะเนื้อหอมมากคือภูมิใจไทย เพราะดู“มั่นคง”ที่สุด.