กรณี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. สนธิกำลังหลายหน่วยงานในสังกัด บช.ก. และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. เปิดปฏิบัติการ ‘จันทบูร’ นำหมายค้นศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 9 จุด ในพื้นที่ จ.จันทบุรี เชิญตัวผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตงบสนับสนุนมูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี มาแจ้งข้อกล่าวหา ตามความผิดมาตรา 157 ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่ฯ และมาตรา 151 ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตฯ ซึ่งแจ้งข้อกล่าวหาผู้กระทำผิด 4 ราย ประกอบด้วย นายธนภณ กิจกาญจน์ หรือนายกโจ้ นายก อบจ.จันทบุรี นายภูวนาถ บำรุงพันธุ์ อดีต ผอ.กองแผนฯ พระครูสุทธิตารกาภิรักษ์ หรือ พระครูปลัดณัฐดนัย เจ้าอาวาสวัดสุทธิวารี ในฐานะเจ้าคณะอำเภอสอยดาว และกรรมการมูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี รวมทั้ง นายเกศสยาม ร่วมดี แห่ง หจก.สยามช่างบูรพา พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินมีค่าเอกสารต่างๆ เป็นจำนวนมาก ขณะที่ นายธนภณ ออกมายืนยันว่า การจับกุมดังกล่าวเชื่อว่ามีมูลเหตุจากปมการเมือง นั้น

ฟังให้ชัด! ‘นายกโจ้’ลั่นทุจริตจริงพร้อมลาออก ซัดปมการเมือง-จ้องเลื่อยเก้าอี้

ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนภณ หรือนายกโจ้ ยังเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ยัง อบจ.จันทบุรี ตามปกติ โดยมีรายงานว่า เมื่องช่วงเย็นวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา นายธนภณ ได้ตั้งโต๊ะไลฟ์สดแถลงชี้แจงปมเงินสนับสนุนพุทธมณฑลจันทบุรีผ่านทางเพจ อบจ.จันทบุรี ซึ่ง นายธนภณ ชี้แจงว่า อบจ. อนุมัติตามระเบียบเงินอุดหนุนให้กับทางพุทธมณฑลจันทบุรีแล้ว ก็เป็นเรื่องของมูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี จะดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งทาง อบจ. ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่จะคอยติดตามความเคลื่อนไหว ทั้งนี้ทาง มูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี ขอรับการจัดสรรงบประมาณมา 5 ปี ประมาณ 106 ล้านบาท และในปี 2554 ที่ทางเจ้าหน้าที่มีกล่าวหาว่าเงิน 17.5 ล้านบาทหายไปไหน ซึ่งเป็นเรื่องของข้อกล่าวหาต่างๆ แต่สิ่งสำคัญคือ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจันทบุรี ได้เข้าตรวจสอบบัญชีของมูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นเงินอุดหนุนของ อบจ. โดยจะเข้ามาตรวจสอบบัญชีประจำปีของทุกปี

กระทั่งไปเจอในเงินอุดหนุนก้อนใหญ่ ก็จะตามไปดูว่าเงินอุดหนุนได้ถูกนำไปใช้ถูกต้องตามระเบียบหรือไม่  ดังนั้นในปี 2554 ที่ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจันทบุรี ตรวจพบและไม่สามารถที่จะหาหลักฐานได้ของเงิน 17.5 ล้านบาท จึงได้ทำหนังสือถึง อบจ.จันทบุรี ให้ดำเนินการ จึงได้ทำหนังสือเพื่อไปทวงเงิน 17.5 ล้านบาท แต่ในส่วนขั้นตอนของมูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี ที่ได้ใช้งบประมาณที่ให้ อาจจะไม่เข้าใจเรื่องของระบบการจัดซื้อจัดจ้าง อาจจะใช้ในการก่อสร้างในพื้นที่ของพุทธมณฑลหมด ดังนั้นเมื่อไม่มีเงินคืน อบจ. ตามที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้กำหนด ทาง อบจ. จึงดำเนินการฟ้องร้องเพื่อเรียกเงินคืน โดยขณะนี้ ขั้นตอนอยู่ในศาลปกครองระยอง ทาง อบจ. เป็นโจทก์ฟ้อง ทาง มูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี เป็นจำเลย เพื่อที่จะเรียกเงิน 17.5 ล้านบาทคืน ทำให้ตรงจุดนี้ ไม่มีอะไรซับซ้อน เนื่องจาก อบจ.ดำเนินการให้ เป็นตามระเบียบเท่านั้น 

ส่วนที่มีการนำเสนอข่าวใหญ่โต ว่า ตนทุจริตขอยืนยันว่า เป็นคนจันทบุรีโดยกำเนิด เพราะฉะนั้นการที่ตนเองจะคิดทรยศต่อชาติบ้านเมืองเข้ามาโกงกิน แสวงหาผลประโยชน์ จึงไม่ใช่ตัวตน อีกประการถ้าหากเป็นคนไม่โปร่งใส คงไม่ได้รับโอกาสจากประชาชน เพราะฉะนั้นการถูกตำรวจตรวจค้นบ้าน จึงเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับผู้ที่ไม่รู้ ทั้งนี้ที่ดินก็เป็นทรัพย์เก่าแก่ ที่พ่อได้ซื้อไว้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ในราคาไร่ละ 5,000 บาท ที่ติดชายทะเลก็เป็นของพ่อ และจากการที่กลายเป็นผู้ต้องหาและตกเป็นข่าวดังระดับประเทศก็ไม่มีความกังวล ยังคงยืนยันเรื่องความบริสุทธิ์ ทั้งนี้ได้ให้ปากคำข้อมูลแก่ทางตำรวจไปหมดแล้ว เพียงแต่ว่าความชัดเจนความโปร่งใสที่อยู่ในตัว กลับถูกพิพากษาจากสังคมไปแล้ว แต่ส่วนตัวไม่รู้สึกกดดัน เพราะว่าเป็นนักการเมือง เข้าใจในสถานการณ์ เมื่อไม่สังกัดพรรคหรืออยู่ฝั่งไหนที่ชัดเจน ก็ถูกจับผิดและโดนแรงกดดันเป็นเรื่องปกติ จึงยืนยันอีกว่ากรณีที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของการเมือง ส่วนแนวทางในการต่อสู้หลังจากนี้จะดูในเรื่องของเอกสาร ตั้งแต่เอกสารอำนาจหน้าที่ ขั้นตอนต่างๆ ที่ต้องนำไปตอบกับทางคณะกรรมการ ปปป. และ สำนักงาน ปปง. ยืนยันว่ามีหลักฐานพร้อมไว้อยู่แล้ว

นายธนภณ กล่าวอีกว่า การทำงานการเมืองย่อมเป็นเหมือนเหรียญ 2 ด้าน เมื่อรับเลือกขึ้นมาได้ตำแหน่งคือผู้ชนะ คนที่ไม่ได้คือผู้แพ้ เพราะฉะนั้นผู้แพ้ ก็ต้องจ้องที่จะตรวจสอบหาช่องทางเอาผิดเพื่อโค่นล้ม แต่วันนี้กลับมีการเมืองใหญ่ เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่อย่างที่บอกทุกครั้ง ตนเองไม่สังกัดพรรคการเมือง แต่สังกัดพวกที่คอยช่วยทำงานผลักดันให้ จันทบุรี เจริญก้าวหน้าต่อไป