สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวว่า หนึ่งในอำนาจบริหารที่ตัวเขาจะลงนามให้มีผลบังคับใช้ทันที เมื่อเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศเป็นสมัยที่สอง ในวันที่ 20 ม.ค. 2568 คือการขึ้นภาษี “สินค้าทุกชนิด” จากแคนาดาและเม็กซิโก ในอัตรา 25% โดยให้เหตุผลเกี่ยวกับนโยบายเรื่องพรมแดนของทั้งสองประเทศ


ขณะเดียวกัน ทรัมป์กล่าวว่า สินค้าทุกชนิดที่จะมีการส่งออกจากจีนมายังสหรัฐ ต้องเผชิญกับอัตราภาษีเพิ่มอีก 10% เนื่องจาก “ความล้มเหลว” ของรัฐบาลปักกิ่ง ในการปราบปรามเฟนทานิล


อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญกล่าวไปในทางเดียวกัน ว่าการขึ้นภาษีดังกล่าวอาจยิ่งเป็นการเพิ่มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ และส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาเอง เพราะผู้ประกอบการของสหรัฐ คือผู้ที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเหล่านั้นให้กับรัฐบาลกลาง เนื่องจากเป็นผู้นำเข้าสินค้า


นอกจากนี้ การที่ระบบตุลาการ “ลังเล” ที่จะตรวจสอบอำนาจของประธานาธิบดีสหรัฐในเรื่องนี้ ซึ่งสามารถประกาศได้เองโดยไม่จำเป็นต้องรอสภาคองเกรส ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ทำให้หลายฝ่ายกังวลและตั้งคำถาม ถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นตามมา ทั้งในทางเศรษฐกิจและความมั่นคง


ยิ่งไปกว่านั้น การตั้งกำแพงภาษีหรือขึ้นอัตราภาษีให้สูงกว่าเดิมอีก เสี่ยงที่จะทำให้ผู้ประกอบการของสหรัฐเผชิญกับมาตรการตอบโต้ ซึ่งก็จะเป็นการเกิดสงครามการค้ารอบใหม่ ดังเช่นที่สหภาพยุโรป (อียู) เคยตั้งกำแพงภาษีตอบโต้การที่รัฐบาลทรัมป์ในเวลานั้น ขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของยุโรป แม้ทั้งสองฝ่ายเจรจาคลี่คลายความขัดแย้งกันได้ในเวลาต่อมาก็ตาม.

เครดิตภาพ : AFP