เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. นางกวิพร วินิจเถาปฐม อายุ 73 ปี ผู้บริหาร บริษัท ธีรพิชญ์ จำกัด พร้อมด้วย น.ส.ภนิดารัสมิ์ วินิจเถาปฐม อายุ 40 ปี บุตรสาว นำเอกสารพร้อมเล่มทะเบียนรถจำนวน 32 เล่ม เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวกรณีถูกพนักงานของบริษัท ลักลอบนำรถโม่ปูนไปขายจำนวน 32 คัน พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ในบริษัท ความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท โดยขณะนี้ผู้ต้องหาเข้ามอบตัวกับตำรวจ และถูกส่งตัวเข้าเรือนจำไปแล้ว แต่ตำรวจยังไม่สามารถติดตามรถกลับมาได้เลยทั้งที่เวลาผ่านมา 8 เดือนแล้ว
นางกวิพร เปิดเผยว่า บริษัทตนดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับรถโม่ปูน เปิดมาแล้ว 38 ปี เคยมีรถโม่ปูนมากสุดถึง 280 คัน รายได้หลักมาจากการทำธุรกิจด้านการขนส่งคอนกรีต ต่อมาเศรษฐกิจขาลง ต้องทยอยขายรถไปบางส่วน ซึ่งขณะดำเนินธุรกิจอยู่นั้น ถูกนายกิติกร (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี พนักงานตำแหน่งหัวหน้าช่างปฏิบัติงาน เป็นคนที่สามีไว้ใจให้ดูแลกิจการทุกอย่าง ได้ย้ายรถทั้งหมดพร้อมเครื่องมือช่างจาก จ.นนทบุรี ไปอยู่ที่ จ.ปราจีนบุรี เหลือรถโม่ปูนทั้งหมด 32 คัน
ต่อมาราวปี 64 ได้มีบริษัทแห่งหนึ่ง ติดต่อมาหาสามีถามว่า สนใจที่เอารถไปวิ่งงานคอนกรีตหรือไม่ โดยทางบริษัทดังกล่าวจะเป็นผู้รับงานให้ แล้วให้สามีบริหารจัดการรถทั้งหมด แต่สามีปฏิเสธไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวนายกิติกร ทราบดี จึงไปเปิดบริษัทขึ้นมาเอง เพื่อรับงานจากบริษัทดังกล่าวเอง ทั้งๆ ที่ยังเป็นลูกจ้างของบริษัทตน ต่อมาสามีตนป่วยเป็นมะเร็งเสียชีวิต ทำให้ไม่มีคนไปดูแลกิจการแบบใกล้ชิดได้ ตนกับลูกชายก็ต้องคอยดูแลสุนัข แมว อยู่ที่ จ.สระบุรี ปล่อยให้นายกิติกร บริหารงานอยู่คนเดียว ซึ่งนายกิติกร หาคนมาขับรถปูนเองทั้งหมด
ต่อมานายกิติกร ทำงานร่วมกับบริษัทดังกล่าวครบ 1 ปี ปรากฏว่า รถโม่ปูนกว่า 30 คัน ก็ถูกนายกิติกร เอาไปขายจนเกลี้ยงหมด เจ้าของบริษัทดังกล่าวจึงแจ้งความไว้ที่ สภ.ทุ่งคอก จ.สุพรรณบุรี จนกระทั่งศาลออกหมายจับนายกิติกร ข้อหายักยอกทรัพย์ และนายกิติกรได้เข้ามอบตัวเมื่อต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา แล้วประกันตัวออกมา
ส่วนของตนทราบว่านายกิติกร ได้เอารถตนไปขายจนหมดเกลี้ยงเช่นกันรวม 32 คัน ทั้งๆ ที่เล่มทะเบียนยังอยู่ที่ตน ที่ทราบเรื่องเพราะมีคนโทรศัพท์มาขอซื้อเล่มทะเบียนรถในราคา 5 หมื่นบาท อ้างว่าซื้อรถจ่ายเงินไปแล้ว 4 แสน ไม่สามารถต่อทะเบียนได้ เมื่อสอบถามนายกิติกร ก็อ้างว่า รถจอดเสียที่จังหวัดโน้นบ้าง จังหวัดนี้บ้าง แต่เมื่อให้ส่งโลเคชั่นที่รถจอดเสีย ปรากฏว่านายกิติกร ไม่สามารถส่งมาได้ ตนจึงไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ระเบาะไผ่ จ.ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 67 จนกระทั่งเมื่อวันที่ 25 พ.ย. ทางพนักงานสอบสวนติดต่อให้นายกิติกร เข้าไปมอบตัวในข้อหา ลักทรัพย์นายจ้าง และนำตัวส่งศาล พร้อมคัดค้านการประกันตัว ส่งตัวนายกิติกรเข้าเรือนจำทันที
นางกวิพร กล่าวต่อไปว่า ตนให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้วว่า รถที่ถูกขโมยขายไปหลายคันไปอยู่ตรงไหนบ้าง เช่น บางคันไปอยู่ที่ ต.โนนดินแดง อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ อีกคันไปอยู่ที่อู่โชคดีมอเตอร์ อ.ประทาย จ.นครราชสีมา และอีกหลายที่ แต่ตำรวจไม่ได้สนใจและติดตามรถ แถมยังไม่ได้มีการขยายผลถึงผู้ร่วมกระทำความผิด เพราะตนถามคนที่ซื้อรถไปว่าซื้อรถมาจากใคร หลายคนบอกว่า ซื้อจากนายกิติกร และคนร้ายอีก 2 คน ซึ่งร่วมกันลักรถตนไปขาย แต่ตำรวจก็จับแค่นายกิติกร เพียงคนเดียว
ตนอยากรู้ว่าคนที่ซื้อรถตนไปนั้นเข้าข่าย ลักทรัพย์และรับของโจรหรือไม่ เพราะเอกสารรถยังอยู่ที่ตน ตนอยากได้รถกลับคืนมาเพื่อจะนำไปขายทอดตลาด แล้วเอาเงินไปใช้หนี้สินที่เกิดจากการกระทำของนายกิติกร ที่เหลือก็จะเอามาซื้ออาหารเลี้ยงสุนัข แมวที่ยังเหลือรวมกันประมาณ 2 พันตัว เวลาล่วงเลยมากว่า 8 เดือนแล้ว แต่ตำรวจยังไม่สามารถติดตามรถกลับมาได้แม้แต่คันเดียว.