“สุภโชค”คัมแบ๊ก
ถ้า ช้างศึก จะไปถึงแชมป์ สุภโชค สารชาติ คือกำลังสำคัญ รอบแรกเขาไม่ได้ลงเลย เพราะอยู่ในช่วงเรียกความฟิต มานัดเยือนสนามหญ้าเทียม ริซาล เมโมเรียล ของฟิลิปปินส์ ทีแรกก็คิดกันว่า มาซาทาดะ อิชิอิ จะยังไม่ใช้งาน เพราะเสี่ยงจะเจ็บซ้ำกับสภาพสนามแบบนี้ แต่สุดท้ายตัดสินใจได้ลงเล่น 11 คนแรกเลย
ส่วนตำแหน่งอื่นของไทย ที่น่าสนใจ ศฤงคาร พรมศุภะ ถูกส่งยืนเซ็นเตอร์กับ โจนาธาร เข็มดี, แบ๊กขวา ศุภนันท์ บุรีรัตน์ ลงแทน นิโคลัส มิคเกลสัน ส่วนกลางรุกใช้ อัครพงษ์ พุ่มวิเศษ ที่ยืนสูงแทบจะเป็นหน้าคู่ พาตริก กุสตาฟ์สัน

เจ้าถิ่นมากันเพียบ
ริซาล เมโมเรียล จุราว 1.2 หมื่นคน แต่รอบแรกมาโหรงเหรง เกมกับ เมียนมา 1.6 พันคน, เกมกับ เวียดนาม 3.3 พันคน (เผลอๆ คนเวียดนามเยอะกว่า)
แต่ก่อนเกมกับไทย ฟิลิปปินส์ ระดมแฟนมากันให้แน่นๆ ถึงกับให้ลงทะเบียนรับบัตรดูฟรี ยกเว้นอัฒจันทร์ฝั่งประธานเลยทีเดียว ซึ่งก็ได้ผล แฟนปินอย มากันแน่นสนาม เป็นแรงใจคึกคัก ยอดผู้ชม 7,116 คน
แค่นี้ก็เยอะแล้ว สำหรับประเทศที่ฟุตบอลไม่ใช่กีฬามหานิยม และยิ่งอัฒจันทร์แคบๆ ด้วยยิ่งดูแน่น
เป็นพลังอย่างหนึ่งให้ฟิลิปปินส์ฮึด…จนหยดสุดท้าย

VARเอ๋อๆ
ประตูแรกของฟิลิปปินส์ เริ่มจากกลางสนาม ซานโดร เรเยส เปิดออกขวาให้ อเล็กซ์ มูนิส ที่วิ่งเลี้ยงไลน์ ภาพในจอเหมือนว่า “อาจจะ” ล้ำหน้า ที่ไลน์แมนไม่ตีธง นำไปสู่ประตู 1-0 ของ เรเยส ทีแรกคิดว่าเดี๋ยวจะมี VAR มาตามเช็ก ที่ไหนได้ บนจอขึ้นมาแต่ภาพช้าแบบโคลสอัพ ไม่ได้มีสัญญาณว่าจะเช็ก

ก่อนที่สักพักกรรมการเรียกกัปตันทีม 2 ฝั่งว่า VAR มีปัญหาอยู่นะ เดี๋ยวครึ่งหลัง(คง)จะกลับมาใช้ได้…
อ้าว แล้วลูกที่เราเสียไปล่ะ
ครึ่งหลัง เอามาใช้ได้ก็จริง แต่ก็ไม่ตลอดรอดฝั่ง
เฮ้อออออ

ปรับตัวหญ้าเทียมอยู่นาน
ช้างศึก ซ้อมหญ้าเทียมที่ไทย 1 ครั้ง และไปซ้อมที่ ริซาลฯ 2 ครั้ง ซึ่งยังไงก็ไม่ชิน ช่วงครึ่งแรกเห็นถึงความกระโดกกระเดก จ่ายไม่แม่น จับจังหวะไม่เป๊ะ ทำให้สถิติครองบอลครึ่งแรก ไทยเป็นรอง ที่ 48-52 และดูเหมือนนักเตะไทย จะออกลูกคิดเยอะหลายครั้งที่เข้าบอล เหมือนไม่คุ้นจังหวะบอล และจะกลัวเจ็บ
กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็ครึ่งหลัง ที่ไทยค่อยๆ ข่มทีละนิด
นับจากตีเสมอโอกาสก็มาเรื่อยๆ
โดยเฉพาะครึ่งหลัง….

ฟุตบอลก็แบบนี้
ครึ่งหลังช้างศึก ทำเกมได้ดี สร้างโอกาสมากมายเหลือเกิน ทั้งที่ ฟิลิปปินส์ หยิบยื่นให้ หรือปั้นไปเอง
ทุกโอกาสล้วนหลุดลอยไป ไม่ว่าจะ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา เก็บตกต้นครึ่งหลัง, อัครพงษ์ พุ่มวิเศษ เข้าชาร์จไม่ตรงเป้า, พาตริก กุสตาฟส์สัน ยิงหลุดกรอบ, วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ซัดถากเสา, พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี ยิงเฉี่ยว
เมื่อยิงลูก 2-1 ไม่ได้ ฟิลิปปินส์ ก็เลยยังคึก ยังไม่เหี่ยว ยังมีหวัง ยิ่งมีแฟนมาช่วยเชียร์เยอะด้วย จึงยังสู้ จนเรายื่นโอกาสให้เขาบ้าง จากการตัดฟรีคิกในนาทีสุดท้าย
บอลแบบนี้โยนเข้าไปมัน 50-50 อยู่แล้ว แล้วจังหวะมันก็โป๊ะเชะ ก่อน กิเก ลานาเรส ชาร์จเข้าไปเป็นประตูชัย นาทีที่ 90+5
ฟุตบอลก็แบบนี้ ทำเขาไม่ได้ ก็โดน!

เสียฟอร์ม เสียหน้า อย่าเสียขวัญ
ไทยแพ้ฟิลิปปินส์ครั้งแรกใน 52 ปี หรือตั้งแต่ปี 1972
โดย 21 แมตช์ก่อนวันนี้ ไทยชนะ 19 เสมอ 2
สถิติอาเซียนคัพ ก่อนครั้งนี้ ไทย เข้ารอบรองฯ 11 ครั้ง ตกรอบรองฯ ครั้งเดียว เข้าชิงฯ 10 ครั้ง ได้แชมป์ 7 ครั้ง
ส่วนฟิลิปปินส์ เข้ารอบรองฯ มาแล้ว 4 ครั้ง ยังไม่เคยได้เข้าชิง
ยกสถิติมาให้เซ็ง ให้เสียวกันเล่นๆ แต่ในโลกความจริง ยังถือว่าก้ำกึ่ง เพราะยังมีเกมในบ้าน

ฟื้นสภาพร่างกายในเวลาจำกัด
วันที่ 30 ธ.ค. จะเตะนัด 2 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน
เป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นชิดทีเดียว และน่าห่วงว่านักเตะไทยจะได้พักขนาดไหน
เกมนี้เตะเวลาฟิลิปปินส์ 3 ทุ่ม เตะเสร็จ 5 ทุ่ม กว่าจะกลับถึงโรงแรมต้องมี ตี 1 ไหนจะกินอาหารกว่าจะได้นอน

แล้วนัดเคลื่อนพลออกจากโรงแรมตี 5 เพื่อไปให้ทันไฟลท์บิน 07.30 น. บินถึงไทย 10 โมงเช้า
คิวมาแบบนี้ นักเตะไทยเหนื่อยแน่นอนโดยเฉพาะคนที่ลงเล่นเต็ม หรือเกือบเต็มเกม
วัดใจ มาซาทาดะ อิชิอิ ในนัด 2 จะโรเตชั่นมากแค่ไหน ในสกอร์ที่เป็นรอง
สถานการณ์ยังไม่เลวร้ายเกินไป เซ็งได้ แต่อย่าเพิ่งท้อ การเล่นในไทย คงไม่มีข้ออ้าง ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากชนะ เช็กบิลฟิลิปปินส์ สู่รอบชิงฯ ให้ได้.
วุฒินล