น่าจะถือเป็นกรณีศึกษาเลยหลังจากที่ สภาองค์กรของผู้บริโภค  และเฟจ “คุณลุงไอที” ได้โพสต์แจ้งเตือนผ่านเฟสบุ๊ค ว่า พบ รายงานจากผู้ใช้หลายรายว่า พบแอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อน อาทิ แอปฯ ชื่อ ‘สินเชื่อความสุข’ หรือ ‘Fineasy’ ถูกติดตั้งมา บนสมาร์ทโฟน ออปโป้  (OPPO) และ เรียลมี  (Realme) แบรนด์ชื่อดังจากจีน

ซึ่งแอปฯดังกล่าวไม่สามารถลบออกจากเครื่องได้ และยังสามารถส่งการแจ้งเตือนเชิญชวนให้กู้เงิน รวมถึงเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อและเบอร์โทรศัพท์  ซึ่งเรื่องดังกล่าวกลายเป็น “ดร่าม่า”ระดับประเทศถกเถียงและหาทางออกระหว่างภาครัฐและเอกชน

เรื่องนี้ทางลั่งผู้เบริโภค มองว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ เป็นการยัดเยียด ไม่เปิดให้ผู้บริโภคได้เลือกเองว่าจะใช้บริการหรือดาวน์โหลดแอปเพื่อใช้งานเอง

โดนทางฝั่ง สภาผู้บริโภค ระบุว่า การติดตั้งแอปพลิเคชั่นมากับสินค้าหรือบริการถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ของผู้บริโภคตามมาตร 4 (2) ในการมีอิสระที่จะเลือกหาสินค้าหรือบริการ และอาจจะกระทบสิทธิของผู้บริโภคด้านความปลอดภัยในการซื้อสินค้าและบริการ และละเมิดการคุ้มครองส่วนบุคคล

ทำไม กรณีของมือถือ สองแบรนด์ต้องติดตั้งแอปดังกล่าวมาจากโรงงาน ทาง จุลดิษฐ์ สันติธรณี”  กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิจิโทโปลิส จำกัด  บริษัทนักพัฒนาโมบายแอปพลิเคชัน ทั้ง iOS และ Android  ที่มีประสบการณ์มากว่า 13 ปี  ได้ บอกกับ “เดลินิวส์” ว่า  ปกติสมาร์ทโฟน ที่เราใช้ในกลุ่มของแอนดรอยด์ มีราคาขาย หลายเรท ตั้งแต่ราคารุ่นถูก และ ราคาแพง  แต่มือถือที่ราคาถูก ยิ่งขายยิ่งจาดทุน เพราะ ได้กำไรต่อเครื่องน้อย ทางแบรนด์มือถือ ทางผู้ผลิตก็เลยใช้ทางเลือก จับมือกับ  ผู้ผลิตผลิตคอนเทนต์ หรือแอปพลิเคชั่น เพื่อฝังแอป หรือเกมมาจากโรงงานผลิตเลย เพื่อให้ผู้ใช้งานไม่ต้องไปหาดาวน์โหลดเอง เป็นการเพิ่มฐานยอดดาวน์โหลดแอป โดยไม่ต้องทำการตลาด  และแบรนด์มือถือก็ได้รายได้เพิ่ม

“ การฝังแอป ในมือถือจากโรงงาน ในส่วนของมือถือแอนดรอยด์ มีมานานแล้ว อย่างบางยี่ห้อง จะมีสโตร์ หรือร้านค้าของตนเองมีการพัฒนาฯแอป เช่น เกี่ยวกับสุขภาพ การออกกำลังกาย ซึ่งก็อาจมีการขอเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์เช่นกัน การมีสโตร์จะช่วยให้สามารถนำเสนอบริการต่างๆ ได้ แต่ที่ผ่านมาไม่มีใคนําเสนอแอปที่หวือหวา ในกรณีที่เกิดขึ้นกับ OPPO และ Realme มันไม่ปกติ เพราะดันเป็นแอปสินเชื่อ และยังเป็นแอปฯสินเขื่อเถื่อนที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.) ด้วย จึงทําให้มีปัญหาขึ้นมา เป็นเรื่องใหญ่เป็นข่าวดังขึ้นมา”

“จุลดิษฐ์ สันติธรณี” ยังเล่าถึงประสบการณ์ที่ผ่านมที่เคยพัฒนาแอปเกี่ยวกับการเงิน ที่ต้องได้รับอนุญาตจาก ธปท.ว่า การพัฒนาแอปเงินกู้ จะต้องมีการขออนุญาต จากธปท.  และต้องส่งใบอนุญาตให้กับทางกูเกิล เพื่อตรวจสอบ  และมีกระบวนการที่ยาก และเมื่อมีใบอนุญาตแล้ว ทางกูเกิลจะมีการลิสต์เงื่อนไขกฎระเบียบ การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ อะไรที่ทำไม่ได้ เช่นการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลในโทรศัพท์ เรียกว่าต้องเข้าตามตรอก ออกตามประตู  เมื่อมีกฎระเบียบที่เข้มงวด จึงทำให้มีคนลักไก่ ทำโดยไม่ผ่านกูเกิล ก็คือ การตกลงกับโรงงานนำแอปไปฝังไว้จากโรงงานเลย

จุลดิษฐ์ สันติธรณี

 “ผู้พัฒนาที่เข้าออกตามประตู ก็ต้องพัฒนาให้ได้ตามมาตรฐาน แต่พอมีกฎระเบียบที่ยาก ก็ต้องเลยใช้วีธีติดตั้งจากโรงงาน ซึ่งในเคสที่เป็นข่าว ที่มีการลงในโซเซียลและเว็บต่างๆ ที่มีการแกะข้อมูลพบว่าทั้งสองแอปมีการขอเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์เยอะมากเป็นลิสต์ ซึ่งในจีนก็มีแอปประเภทนี้จำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็เข้าถึงข้อมูลสมุดโทรศัพท์ เพื่อดูเครดิต มีคนโทรเข้าออกมาหน้อยแค่ไหน มีจำนวนรายชื่อเยอะหรือไม่ส่วนหนึ่งเพื่อใช้พิจารณาในการปล่อยสินเชื่อและหากสมัครและให้สินเชื่อไปแล้ว หากไม่จ่ายคืนก็จะตามจากรายชื่อในโทรศัพท์ ดังที่เคยเป็นข่าวว่าไม่รู้จักแต่มีคนโทรฯมาทวงหนี้ชื่อคนหนึ่ง ซึ่งพวกนี้จะดูข้อมูลจากรายชื่อในโทรศัพท์  คุณเป็นอะไรกับคนนี้เค้ากู้เงินมาแล้วไม่ยอมจ่ายคืนให้ให้ตามให้หน่อย เป็นต้น”

 “จุลดิษฐ์ สันติธรณี” ตั้งข้อสังเกตจากความคิดเห็นส่วนตัวว่าปัญหาเรื่องแกล็งคอลเซ็นเตอร์ที่ระบาดหนักในไทยอาจมีสาเหตุมาจากมาจากตรงนี้หรือไม่ที่เมื่อแอปกู้เงินเถื่อนเล่านี้เข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์แล้วมีการนำข้อมูลไปขาย  ซึ่งในจีนอาจมีแอปแบบนี้มาก แต่กรณีเมื่อเข้ามาในไทยนี้เค้าอาจจะไม่รู้หรือไม่ได้ศึกษาว่ามันต้องมีใบอนุญาตจากรัฐก่อนถึงจะทำธุรกิจสินเชื่อดิจิทัลได้  และแอปเงินกู้เถื่อนก็มีความเสี่ยงในเรื่องแหล่งเงินทุน อาจมาจากกลุ่มทุนจีนเทา หรือไม่”

อย่างไรก็ตามหลังกิดเหตุการณ์นี้จนเป็นข่าวใหญ่ จึงมีการถกเถียงว่า หน่วยงานงานใดจะเข้ามาดูแลตรวส่วนนี้ เมื่อทาง สำนักงาน กสทช.บอกว่าอำนาจตามกฎหมาย คือการตรวจด้านฮาร์ดแวร์และเทคนิค ของสมาร์ทโฟนที่จะวางขายท่านั้น แต่ไม่ได้ดูเรื่องการดาวน์โหลดซอฟท์แวร์

ทาง “จุลดิษฐ์ สันติธรณี” บอกถึงประเด็นนี้ว่า  ไทยควรจะมีหน่วยงานที่ดูแลตรงนี้ ก่อนจะวางขายอุปกรณ์ในประเทศโดยหน่วยงานที่น่าจะเกี่ยวข้องก็คือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ถึงแม้ตอนนถ้ายังไม่หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง  แต่หากผิดกับกฎหมายของหน่วยงานใด ก็ควรออกแอ็คชั่น เพื่อไม่ให้มีส่วนเสียหายต่อผู้บริโภค  หรือ อาจให้ สำนักงาน กสทช. เพิ่มตรวจซอฟท์แวร์ไปด้วยโดยให้ผลิตยระบุถึงซอฟท์แวร์พื้นฐานที่ลงในเครื่องมีแอปฯอะไรบ้าง

ซึ่งสอดรับกับทาง “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ที่บอกว่า มีความเป็นไปได้ที่จะกระทรวงดีอีจะออกกฎระเบียบดูแลการโหลดแอพพลิเคชั้นมากับโทรศัพท์มือถือ (พรีโหลด) โดยได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (เอ็ตด้า) เป็นเจ้าภาพ ร่วมกับ สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ไปทำการศึกษาเรื่องนี้ โดยประสานกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) จะเรียกประชุมหน่วยงานที่่เกี่ยวข้องในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนม.ค.นี้

ขณะที่ “วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ” ปลัดกระทรวง ดีอี บอกว่า เรื่องการกำกับดูแลแอพพลิเคชั่นที่ดาวนโหลดลงมือถือนั้น มั่นใจว่าสามารถควบคุมได้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย ของ 2 แบรนด์มือถืออีก โดยจะทำเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดภายในไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 ของปีนี้

ระหว่างที่ต้องรอความชัดเจนเรื่องนี้นั้น เราในฐานะคนใช้งานหรือผู้บริโภค ต่องทำอย่างไรนั้น ทาง  “จุลดิษฐ์ สันติธรณี” แนะนำว่า เมื่อต้องซื้อมือถือ ควรดูและศึกษาว่ามีการลงแอปพื้นฐานอะไรบ้าง หากมีลิงค์ให้กดดาวน์โหลดถ้าไม่มั่นใจอย่ากด ป้องกันเรื่องลิงค์เถื่อนหรือแอปดูดเงิน และอย่าดาวนโหลด์แอป นอกสโตร์ และก่อนดาวนโหลดแอปอะไรให้หาข้อมูล บริษัทผู้พัฒนา หากเป็นแอปเงินกู้ให้ตรวจสอบกับธปท.ก่อน และถ้าหากจะสมัครใช้แอป มือถือต้องดูว่ามีการขอเข้าถึงข้อมูลส่วนใดบ้าง เป็นต้น

คงต้องตามดูต่อไปว่า “หนังยาว”เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร และรัฐจะสามารถควบคุมในเรื่องนี้ได้หรือไม่!?!

 จิราวัฒน์ จารุพันธ์