ปกติแล้ว ทันตแพทย์จะแนะนำให้เราใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้งเพื่อขจัดคราบพลัคและเศษอาหารออกจากซอกฟัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคฟันผุและโรคเหงือก

อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์และตรวจสอบพบว่า ไหมขัดฟันหลายยี่ห้อมีส่วนผสมของสารเคมีที่เรียกว่า เพอร์-แอนด์ โพลีฟลูออโรอัลคิล (Per- and polyfluoroalkyl substances) ซึ่งเรียกย่อ ๆ ว่า PFAS  ผสมอยู่ โดยพบอยู่ 13 จาก 39 ยี่ห้อ

สาร PFAS เป็นส่วนผสมของวัตถุดิบในการผลิตสินค้าหลายชนิดโดยเฉพาะสินค้าสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันหรือในครัวเรือน มันถูกเรียกว่า “สารเคมีอมตะ” เพราะย่อยสลายได้ยากและเมื่อสะสมในร่างกายก็จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายประการ เช่น โรคมะเร็ง, โรคไทรอยด์, รบกวนระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญล้วนแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีชนิดนี้ให้ได้มากที่สุด

สาร PFAS ที่อยู่ในไหมขัดฟันเป็นตัวช่วยให้เส้นไหมขัดฟันเลื่อนหรือขัดสีไปตามซอกฟันได้ง่ายขึ้น แต่ก็สามารถตกค้างอยู่ในร่างกายได้ด้วย 

อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรเลิกใช้ไหมขัดฟันด้วยเหตุผลว่า ไม่ต้องการให้สาร PFAS สะสมในร่างกาย ดร. โจเซฟ บรอฟสกี หัวหน้าแผนกทันตกรรมเด็กที่ศูนย์การแพทย์เด็กโคเฮนในย่านนิวไฮด์ปาร์ค กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “เราไม่สามารถหยุดใช้ไหมขัดฟันได้ เพราะมีความสำคัญพอๆ กับการแปรงฟัน เพื่อกำจัดคราบพลัค ลดความเสี่ยงของโรคฟันผุ และทำให้ลมหายใจสดชื่น” 

ในการเลือกของไหมขัดฟันที่ปลอดภัย ควรอ่านฉลากเพื่อตรวจสอบว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสาร PFAS, ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ไหมหรือฝ้าย และเคลือบด้วยขี้ผึ้งธรรมชาติ เช่น ขี้ผึ้งแท้ พืช เช่น ขี้ผึ้ง ไขจากต้นแคนเดลิลลาหรือไขจากใบปาล์มคาร์นอบา

ดร. บรอฟสกียังแนะนำว่า นอกเหนือจากไหมขัดฟันแบบปลอดสารพิษแล้ว ยังสามารถเลือกใช้เครื่องฉีดน้ำทำความสะอาดช่องปากแทนไหมขัดฟัน ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพราะใช้น้ำเป็นตัวทำความสะอาดโดยที่เหงือกและฟันไม่ต้องสัมผัสวัตถุใด ๆ 

ที่มา : nypost.com

เครดิตภาพ : Steve Buissinne from Pixabay