เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหว เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. และเลขาธิการ กกต. เพื่อขอความชัดเจนว่าใช้กฎหมายหรือพระราชบัญญัติฉบับใดในการรับรองให้ นายทักษิณ ชินวัตร นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นผู้ช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้
นายสนธิญา กล่าวว่า การเป็นผู้ช่วยหาเสียงของบุคคลเหล่านี้ ตนเคยร้องเรียนไม่ต่ำกว่า 2-3 ครั้งว่า คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองนั้นสามารถเป็นผู้ช่วยหาเสียงหรือเกี่ยวข้องกับการเมืองได้หรือไม่ วันนี้จึงมายื่นหนังสือถึง กกต. โดยเฉพาะเลขาธิการ กกต. ที่ให้สัมภาษณ์ว่าผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน สามารถทำได้ ทั้งที่ถ้าไปดูความหมายของคำว่าสิทธิทางการเมือง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 มีอยู่ 3 ประเด็นหลัก คือ 1.สิทธิในการแสดงความคิดเห็น 2.สิทธิแสดงออกในด้านการเมือง 3.สิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองในวิถีทางระบบประชาธิปไตย ซึ่งบุคคลที่ไปเป็นผู้ช่วยหาเสียงของทั้งสองพรรค เป็นผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองทั้งหมด
นอกจากนี้ตาม พ.ร.บ.การเลือกสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 มาตรา 38 (3) กำหนดว่าทุกคนที่จะเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งก็เห็นผู้ที่จะเป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด ก็ควรที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าวเช่นกัน ถึงอยากถามว่าสิ่งที่เป็นผู้ช่วยหาเสียงของทั้ง 2 พรรค มีสำเนาทะเบียนบ้านอยู่ในจังหวัดที่ไปช่วยหาเสียงหรือไม่

“ถามว่านายทักษิณ มีสำเนาทะเบียนบ้านอยู่ในทุกจังหวัดที่ไปหาเสียงหรือครับ และขอถาม กกต. และเลขาฯ กกต. ว่าใช้บทบัญญัติใดของรัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติในการรับรองว่าบุคคลคนเหล่านี้ ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและไม่ได้มีสำเนาทะเบียนบ้านอยู่ในพื้นที่นั้นๆ เป็นผู้มีสิทธิเป็นผู้ช่วยหาเสียงสมัครสมาชิกสภาท้องถิ่น ถ้า กกต. ใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ตรงนั้น มันจะกว้างระดับประเทศ แต่ในกรณีใช้ พ.ร.บ.การเลือกตั้งท้องถิ่นมันใช้ได้แค่จังหวัดนั้นๆ เพราะขนาดจะเป็นผู้ร้องเรื่องการเลือกตั้ง ยังต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในท้องถิ่นนั้นๆ” นายสนธิญา กล่าวและว่า วันนี้มีคนส่งเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต อบจ. ใน 3 จังหวัดมาให้ แต่ตนก็ไม่สามารถนำมาร้องได้เพราะไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดนั้น จึงต้องการความชัดเจนเรื่องนี้จาก กกต. หากไม่ได้ความชัดเจน ก็จะยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินให้พิจารณาวินิจฉัยต่อไป
เมื่อถามว่า เลขาฯ กกต. ชี้แจงว่าใช้ระเบียบนี้มาตั้งแต่ปี 2562 การที่นายสนธิญายื่นคำร้องจะถูกมองว่าเป็นการร้องไปที่ตัวบุคคลหรือไม่ นายสนธิญา กล่าวว่า ยืนยันส่วนตัวไม่มีเรื่องโกรธเคือง ส่วนที่ระบุว่าใช้มาตั้งแต่ปี 2562 นั้น ตนขอถามกลับว่าทำถูกกฎหมายหรือไม่ ขอให้ชี้แจงว่าใช้ พ.ร.บ. หรือกฎหมายฉบับไหน ยืนยันตนไม่ได้มาฟ้อง แต่มาร้องขอให้พิจารณาและวินิจฉัย ชี้แจงกับประชาชนทั้งประเทศว่าได้ใช้กฎหมายฉบับใดรับรองการเป็นผู้ช่วยหาเสียงตามที่ออกมาชี้แจง
ทั้งนี้ตนได้ส่งรายชื่อไปเป็นผู้ช่วยหาเสียง อบจ. ที่ จ.สุราษฎร์ธานี มีค่าจ้าง ค่าเดินทาง แต่ได้สั่งให้ระงับ และไม่ได้เดินทางไป เพราะตนติดขัดในเรื่องดังกล่าวด้วย ซึ่งก่อนที่จะมีเรื่องนี้ ตนก็ได้มีข้อสงสัยถามในประเด็นคนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้ว ดังนั้นตนยืนยันไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองหรือมีประเด็นใดประเด็นกับเลขาฯ กกต. และประธาน กกต. แม้แต่นิดเดียว ยังไม่เคยเจอตัวจริง แต่ในฐานะที่ตนเป็นนักการเมือง และผ่านการเลือกตั้งมาทุกระดับ จึงอยากทราบว่า กกต. ตอบให้ชัดเจน เพราะมีประชาชนหลายคนเกิดความสงสัยในประเด็นนี้เช่นกัน
ส่วนอีกประเด็น กกต. กทม. เรียกตนมาชี้แจงกรณีที่ได้ยื่นร้องการเลือก สว. ว่าบริษัทพลังงานใหญ่แห่งหนึ่ง ส่งผู้สมัครเลือกตั้ง สว. ที่ผ่านมา และลงคะแนนให้เฉพาะคนเดียว เบอร์เดียว อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง สว. เหตุการณ์เกิดขึ้นในห้องของการลงคะแนน ที่บุคคลภายนอกจะไม่รู้ กรณีนี้ กกต. เรียกตนมาสอบเป็นครั้งที่ 3 แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ได้รับ คือตนไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้สมัคร สว. ที่เป็นระดับศาสตราจารย์หรือดอกเตอร์มาให้ปากทำอะไรเลย