สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ว่า นักวิจัยเผยว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกษตรกรในภูมิภาคแห่งนี้ ซึ่งมีผลผลิตโกโก้ครองสัดส่วน 70% ของกำลังการผลิตทั่วโลก ต้องดิ้นรนต่อสู้กับความร้อน โรคภัยไข้เจ็บ และฝนที่ตกหนักผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตโกโก้ลดลง
การศึกษาวิจัยของกลุ่มวิจัยอิสระ “ไคลเมต เซ็นทรัล” ทำการวิเคราะห์สภาพอากาศของไอวอรีโคสต์ กานา แคเมอรูน และไนจีเรีย พบว่า แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในไอวอรีโคสต์และกานา ซึ่งเป็นสองผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่ที่สุดของโลก
นักวิจัยกล่าวว่า ความแห้งแล้งทำให้ภูมิภาคเหล่านี้ เผชิญกับอุณหภูมิที่สูงเกิน 32 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสมสำหรับต้นโกโก้ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้มีวันที่อุณหภูมิที่สูงกว่า 32 องศาเซลเซียส เพิ่มขึ้นอีก 2 สัปดาห์ในไอวอรีโคสต์และกานา ในช่วงฤดูเพาะปลูกหลัก ระหว่างเดือน ต.ค.-มี.ค. ของแต่ละปี
????NEW BITTERSWEET REPORT:
— Climate Central (@ClimateCentral) February 12, 2025
Human-caused climate change is boosting excessive heat in West Africa, where ~70% of the world’s cacao is grown—the key ingredient in the chocolate we love.
????Read the report ▶️ https://t.co/8urNqeWjaH
????See the visuals ▶️ https://t.co/1WAvVxqR8u pic.twitter.com/1tslXQ1BnX
ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาปรากฏว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้ปี 2567 มีอุณหภูมิสูงกว่า 32 องศาเซลเซียส เป็นเวลาอย่างน้อย 42 วัน เกิดขึ้นกับพื้นที่สองในสามแห่งนี้
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นที่อาจส่งผลเสียต่อต้นโกโก้ และทำให้ราคาสูงขึ้นได้ รวมถึงการระบาดของเพลี้ยแป้ง ปริมาณน้ำฝน การลักลอบขนสินค้า และการทำเหมืองที่ผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ ราคาสัญญาซื้อขายโกโก้ล่วงหน้าที่นครนิวยอร์กของสหรัฐ เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา อยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (ราว 338,280 บาท) ซึ่งลดลงเล็กน้อย จากระดับสูงสุดที่ 12,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 422,850 บาท) เมื่อช่วงกลางเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว.
เครดิตภาพ : AFP