หนึ่งในปัญหาสังคมของไทยที่เรื้อรังไม่รู้จบ คือบุหรี่ไฟฟ้า แม้รู้ๆกันอยู่ว่าส่งผลต่อสุขภาพร่างกายไม่น้อยไปกว่าการสูบบุหรี่มวน แต่ก็ยังระบาดในหมู่ผู้คนหลากหลายวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนที่มีแนวโน้มเกิดนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
บุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ทั้งห้ามนำเข้า ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องกำหนดให้บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2557, ห้ามจำหน่าย ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 เรื่องห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า และห้ามครอบครอง ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 246 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ศุลกากร พ.ศ.2560 ส่วนการสูบในที่สาธารณะถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 ด้วย
โดยภาครัฐถือเป็นสิ่งที่ทำลายสุขภาพของประชาชน จากฤทธิ์ของสารนิโคตินและสารเคมีอื่นๆในน้ำยาของบุหรี่ที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ และมะเร็ง อีกทั้งกระทบกับพัฒนาการทางสมองของเด็ก
แม้รัฐบาลและบรรดาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้ามากเท่าไหร่ ก็ไม่หมดเสียที เนื่องจาก บุหรี่ไฟฟ้ามีกลิ่นและรสชาติที่หลากหลาย ตัวพอตบุหรี่ไฟฟ้ามีขนาดเล็กพกพาง่ายต่อการลักลอบใช้งาน มีแบบสูบแล้วทิ้ง อีกทั้ง มีพอตที่เป็นตุ๊กตาหรืออาร์ตทอย ซึ่งนอกจากจะอำพรางยาเสพติดดังกล่าว ยังดึงดูดใจเด็กและเยาวชน
ที่สำคัญ มีการลักลอบจำหน่ายสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ และบางรายมีบริการส่งของถึงบ้าน ขณะเดียวกัน บุหรี่ไฟฟ้ามีจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงมีการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าตามชายแดน สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เกิดสึนามิบุหรี่ไฟฟ้าถาโถมทำลายสุขภาพของประชาชนและเยาวชนไทย
จากกรณีของนักเรียนในจ.บุรีรัมย์ ถูกหามส่งโรงพยาบาลหลังสูบบุหรี่ไฟฟ้าและดื่มน้ำใบกระท่อม รวมถึงยังมีหลายข่าวคราวออกมาเป็นระยะๆ ถึงเรื่องเด็ก “ปอดหาย” เพราะบุหรี่ไฟฟ้า กลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้รัฐบาลและสังคมตื่นตัวอีกครั้งถึงการหาทางแก้ปัญหาทั้งระบบอย่างจริงจัง
ทำให้ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ออกมาขันน็อตเรื่องนี้ โดยสั่งการ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ “จิราพร สินธุไพร” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวหลักเดินหน้าปราบบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง และต้องบังคับใช้กฎหมายเข้มงวด นอกจากนี้จะเร่งแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีบทลงโทษที่ชัดเจนและรุนแรงมากขึ้น
ต้องติดตามกันต่อไปว่ามาตรการทั้งหลายจะได้ผลเพียงใด จะไม่เป็นแค่ไฟไหม้ฟางที่ทำให้ปัญหาจางลงชั่วคราว
ที่จริง หากท่านนายกฯไปกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าที่ซุกซ่อนในทำเนียบรัฐบาล พรรคการเมือง และในหน่วยงานต่างๆได้ คงจะเป็นผลงานสำคัญเพิ่มคะแนนนิยมจากประชาชนมากโข