ในช่วงที่ผ่านมาทำเอาหลายๆคนถึงกับผวา! ต้องเช็กบัญชีธนาคารกันให้วุ่น!!

หลังเกิดกรณีเงิน “ล่องหน” ถูกดูดหายออกจากบัญชี โดยที่เจ้าของบัญชีไม่รู้ ไม่ได้เป็นคนธุรกรรมใดๆ

ปัญหาแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง!! เพราะสถาบันการเงิน ถือเป็นภาคธุรกิจที่เหล่ามิจฉาชีพคอย จ้องจะแฮก” อยู่ตลอดเวลา เพราะหากทำสำเร็จก็ได้เงินไปใช้

จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยี ต้องรู้เท่าทันเพื่อลดความเสี่ยง เพราะทุกวันนี้ ทุกอย่างกลายมาเป็นดิจิทัลทำผ่านมือถือได้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะการทำธุรกรรมผ่านมือถือ ซื้อสินค้าและบริการ ผ่านออนไลน์ ได้อย่างง่ายๆ

โดยเฉพาะคนไทยที่กลายเป็นประเทศที่ใช้โมบาย แบงกิ้ง มากที่สุดในโลกไปแล้ว!!!

ทั้งนี้ แคสเปอร์สกี บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก ได้ทำการสำรวจพบว่า การระบาดโควิด-19 ที่กินเวลามาเกือบสองปีแล้ว ซึ่งส่งผลให้การใช้งานการชำระเงินผ่านโมบายในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนมาทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเงินทางออนไลน์ เช่น การช้อปปิ้งจำนวน 64% และการธนาคาร จำนวน 47% อย่างไรก็ตามมีคนจำนวน 69% กังวลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมการเงินทางออนไลน์ และอีก 42% ยอมรับว่ากลัวว่าจะมีใครเข้าถึงรายละเอียดทางการเงินผ่านอุปกรณ์ของตน

เรียกว่า ความสะดวกสบายก็อยากได้ แต่ความกังวลในการในงานก็มี!!

แล้วจะทำอย่างไรดีละ? ให้โอกาสโดนมิจฉาชีพมีโอกาส “ฉกเงิน”จากในกระเป๋าหรือบัญชีของเราน้อยลง เรื่องนี้มี “เคล็ดลับ” ที่จะช่วยให้เราที่เป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถทำได้ เพื่อให้เงินในบัญชีปลอดภัย ทางออนไลน์มากขึ้น!!

ซึ่งแม้ว่าจะมีขั้นตอนทำให้เรามีความยุ่งยากเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็คุ้มถ้าจะทำให้เรามีความปลอดภัย ในการใช้งาน ออนไลน์มากขึ้น เรียกว่า “ยอมเสียเวลา ดีกว่าเสียเงิน”

ทางแคสเปอร์สกีได้แนะนำ 5 วิธีปฏิบัติเพื่อให้เงินปลอดภัยทางออนไลน์มากขึ้น คือ 1.ทำบัตรเครดิตชั่วคราว โดยปัจุบันอาชญากรไซเบอร์ได้พัฒนาเทคนิคและมัลแวร์ที่ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ เราจึงสามารถใช้ บัตรเครดิตชั่วคราว เพื่อซื้อสินค้าออนไลน์แทนบัตรเครดิตปกติได้ เพื่อเพิ่มการรักษาความปลอดภัยสำหรับการช็อปปิ้งออนไลน์ อย่างปลอดภัยขึ้นอีกระดับ  

โดยสอบถามบริษัทบัตรเครดิตที่ใช้อยู่ว่าสามารถออกหมายเลขบัตรเครดิตชั่วคราวได้หรือไม่ หากไม่สามารถ ใช้บัตรเครดิตชั่วคราวได้ ก็ให้ใช้บัตรเครดิตที่มีวงเงินเครดิตต่ำ หรือควรมีบัตรหนึ่งใบเฉพาะ สำหรับการชำระเงินออนไลน์เท่านั้น

2.แยกคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานธนาคารและชอปปิงออนไลน์ ซึ่งหากที่บ้านมีคอมพิวเตอร์มากกว่าหนึ่งเครื่อง จะเป็นเรื่องดีที่จะแยกหนึ่งเครื่องสำหรับใช้งานธนาคารและชอปปิงออนไลน์เท่านั้น และการหลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อท่องอินเทอร์เน็ต ดาวน์โหลด เช็กอีเมล โซเชียลเน็ตเวิร์ก และกิจกรรมออนไลน์อื่นๆ จะทำให้เราสร้างคอมพิวเตอร์ที่ ‘สะอาด’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปราศจากไวรัสคอมพิวเตอร์และมัลแวร์อื่นๆ และควรติดตั้ง Google Chrome พร้อมบังคับใช้งาน HTTPS เพื่อเข้าเว็บไซต์ที่ปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งจะเพิ่มความปลอดภัยได้อีกขั้น

3.ใช้อีเมลแอดเดรสเฉพาะ การสร้างอีเมลแอดเดรสที่เราจะใช้สำหรับชอปปิงออนไลน์เท่านั้น จะช่วยจำกัดจำนวนข้อความสแปมที่จะได้รับอย่างมาก และช่วยลดความเสี่ยงในการเปิดอีเมลที่อาจเป็นอันตราย ซึ่งปลอมแปลงเป็นอีเมลส่งเสริมการขายหรืออีเมลแจ้งเตือนอื่นๆ ได้

4.จัดการและปกป้องรหัสผ่านออนไลน์ ทั้งนี้การใช้รหัสผ่านที่คาดเดายากและแตกต่างกัน สำหรับบัญชีออนไลน์ แต่ละบัญชี ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อการชอปปิงออนไลน์อย่างปลอดภัย การจำรหัสผ่านที่แตกต่างกันจำนวนมาก อาจเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรหัสผ่านนั้นประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข และอักขระพิเศษ จำนวนมาก แต่เราสามารถใช้ทูลหรือเครื่องมือจัดการรหัสผ่าน (password manager) เพื่อช่วยเก็บรหัสผ่าน ที่รัดกุมสำหรับ หลายบัญชีได้

5.ใช้ VPN หากจำเป็นต้องซื้อสินค้าออนไลน์ในขณะที่ใช้ ไว-ไฟ สาธารณะ ก่อนอื่นให้ติดตั้ง VPN (virtual private network – เครือข่ายส่วนตัวเสมือน) ซึ่ง VPN จะเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดที่ถ่ายโอนระหว่างคอมพิวเตอร์ หรือโมบายดีไวซ์กับเซิร์ฟเวอร์ VPN เพื่อป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์ลักลอบใช้งานและดูข้อมูลที่ละเอียดอ่อนที่เราพิมพ์

อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรที่ปลอดภัย 100% พวกแฮกเกอร์จะพยายามหาช่องโหว่และมีความพยายามโจมตีอยู่ตลอด แต่หากเรา “ตั้งการ์ด” หาวิธีป้องกันให้รัดกุมมากที่สุด

 นั่นหมายถึงการตกเป็นเหยื่อก็จะลดน้อยลงด้วยเช่นกัน!!

จิราวัฒน์ จารุพันธ์