กรณี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจับกุม การบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าหน้าไซ-ป่านาปู “บ้านน้ำนิ่ง”หมู่ 5 ต.ลำนาว อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช พบพื้นที่ป่าถูกบุกรุกแผ้วถางตัดโค่นไม้ขนาดใหญ่ รวมเนื้อที่ 174 ไร่ และมีการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่แล้ว 623 ต้น เจ้าหน้าที่ยึดไม้ขนาดยักษ์ใหญ่จำนวน 81 ท่อน มูลค่าเกือบ 2 ล้านบาท ทราบว่าเป็นของรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่ง อำเภอบางขัน จากการตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่นในนครศรีธรรมราช และใกล้เคียง เข้าไปมีส่วนร่วมในการแสวงหาผลประโยชน์ โดยมีการจับกุมเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.นครศรีธรรมราช ป.ป.ช.ภาค 8 ลงพื้นที่ ปักป้ายตรวจยึดพื้นที่ที่ถูกบุกรุก และสอบสวนปากคำผู้นำท้องถิ่นคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวการสำคัญดำเนินคดีตามกฎหมาย ในขณะที่ป่าไม้ที่ 12 นครศรีธรรมราชมีคำสั่งย้ายหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นศ.5 (บางขัน) และตั้งคณะกรรมสอบสวนข้อเท็จจริง ตามที่เสนอข่าวมาแล้วนั้น
แฉนายทุนใหญ่บงการโค่นไม้ยักษ์ป่าสงวนฯ ส่งขายโรงเลื่อย ก่อนปลูกปาล์ม-ทุเรียน-ยางพารา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังสื่อมวลชนนำเสนอข่าว มีชาวบ้านและผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่นบางส่วน ได้ออกมาให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนแต่ยังไม่กล้าเปิดตัวเปิดชื่อจริงเพราะยังไม่มั่นใจการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากมีการจับกุมการบุกรุกป่าสงวนป่าต้นน้ำหลายครั้งแต่เรื่องก็เงียบหายไปทุกครั้ง ซึ่งทุกครั้งไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงลงมาควบคุมสั่งการในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง จนเมื่อเรื่องเงียบหายกลับพบว่าพื้นที่ถูกบุกรุกมีการปลูกปาล์ม ยางพารา และทุเรียนเต็มพื้นที่ทุกแปลงจึงเกรงว่า ในครั้งนี้เรื่องจะเงียบหายไปเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาอีกก็ได้

ขณะที่นายสมชาย ลีหล้าน้อย ผวจ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า การเข้าดำเนินการตรวจสอบจับกุมและตรวจยึดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ที่บ้านน้ำนิ่ง ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้รายงานเบื้องต้นให้ตนทราบตั้งแต่วันเดียวกับกลุ่มตรวจยึดแล้ว ซึ่งได้สั่งกำชับให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ ติดตามและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาดจริงจัง โดยในระดับพื้นที่ทางตำรวจ สภ.บางขันและฝ่ายปกครองอำเภอบางขันได้ดำเนินการตามขั้นตอนปกติอยู่แล้ว และทางสำนักงาน ป.ป.ช.นครศรีธรรมราช ป.ป.ช.ภาค 8 สำนักป่าไม้ที่ 12 นครศรีธรรมราช ก็ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบตรวจยึดพื้นที่ป่าแปลงที่ถูกบุกรุก โดยมีการปักป้ายการตรวจยึดไว้อย่างชัดเจนแล้ว รวมทั้งการสอบสวนผู้ที่มีส่วนพัวพันเกี่ยวข้องในพื้นที่ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

“อย่างไรก็ตามในการตรวจสอบกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ทางอำเภอบางขันได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน เอาผิดทางวินัย ส่วนทางสำนักงานป่าไม้ที่ 12 นครศรีธรรมราชมีคำสั่งย้ายหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่า ที่ นศ.5 (บางขัน) ออกจากพื้นที่พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแล้วเช่นกัน ขอยืนยันว่าเรื่องป่าไม้โดยเฉพาะป่าต้นน้ำ ทุกคนจะต้องช่วยกันดูแลรักษา ซึ่งตนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากและสั่งกำชับให้ทุกท้องที่ ตรวจสอบจับกุมการบุกรุกป่าทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจังเด็ดขาดต่อเนื่องตลอดไป” ผวจ.นครศรีธรรมราช กล่าว

ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวว่า ยอมรับว่าชาวบ้านไม่มั่นใจการจับกุมและดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพราะจับกุมหลายครั้งเรื่องเงียบหาย พื้นที่ป่าหายไปเรื่อย ๆ แต่ผู้กระทำผิดกลับลอยนวลอยู่อย่างสุขสบายมีฐานะร่ำรวยมหาศาล ในครั้งนี้มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งออกมาประกาศว่าตัวผู้ใหญ่บ้านและผู้ที่เกี่ยวข้องมีเส้นใหญ่มากเรื่องที่มีการจับกุมถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะแค่การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ระดับล่างเท่านั้น คำสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช มันจิ๊บจ๊อยมากคนที่มีอำนาจอยู่เบื้องหลังผู้ใหญ่บ้านเขาเอาอยู่ก่อนหน้าที่จะมีการจับกุมแปลง 173-174 ไร่ ก็มีการตรวจสอบจับกุมพื้นที่แปลง 75 ไร่ 95 ไร่มาก่อนแล้ว

แต่ตอนนี้พื้นที่ทุกแปลงปลูกปาล์ม ปลูกทุเรียน ปลูกยางพาราเต็มพื้นที่หมดแล้ว เจ้าหน้าที่ระดับล่างทำอะไรไม่ได้หรอก ชาวบ้านจึงไม่ค่อยมั่นใจการดำเนินการของเจ้าหน้าที่และอยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงหรือรัฐบาลลงมาตรวจสอบควบคุมสั่งการตรวจสอบตรวจยึดแปลงอื่น ๆ ทุกแปลงที่มีการจับกุมไปก่อนหน้านี้ และอยากให้สื่อมวลชนช่วยนำเสนอข่าวตีแผ่เปิดโปงขบวนการบุกรุกยึดป่าสงวน อ.บางขัน อย่างต่อเนื่องจะสร้างความมั่นใจให้กับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ระดับล่างได้มากกว่านี้

ทางด้านผู้นำท้องถิ่นคนหนึ่งกล่าวว่า เรื่องนี้ชาวอำเภอบางขันและอำเภอใกล้เคียงให้ความสนใจอย่างกว้างขวางและติดตามความคืบหน้าต่อเนื่องเพราะขบวนการนี้เป็นขบวนการใหญ่ ซึ่งทำมานานหลายปีแล้ว พื้นที่ถูกบุกรุกยึดครองไปแล้วนับพันไร่ ไม้ซุงยักษ์ถูกชักลากออกไปขายโรงเลื่อยแล้วไม่น้อยกว่าพันต้นโดยมีเศรษฐีใหญ่บงการและรับซื้อไม้ท่อนขนาดยักษ์หลายคนโอบที่ตัดและชักลากลงมาจากภูเขา ผ่านนายหน้าชื่อ “ส” และไม้ทุกท่อนผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งจะเซ็นใบอนุญาตกำกับ มีการยกไม้ขึ้นรถบรรทุกขนาดใหญ่กันกลางตลาดนัดไม่ห่างป้อมยามตำรวจมากนักทำกันอย่างเปิดเผย ตำรวจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้และฝ่ายปกครองทราบกันเป็นอย่างดี

“เรื่องนี้มีผู้ไม่พอใจอย่างมากและออกมาโพสต์แฉระบุมีการจับแบบขอไปทีโดยตนและผู้นำท้องที่ ท้องถิ่นและชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับขบวนการฮุบป่าต้นน้ำยังไม่มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงยังไม่มีใครกล้าเปิดเผยชื่อหรือตัวตนออกมาเปิดโปงต่อต้านอย่างจริงจัง เกรงได้รับความเดือดร้อนถึงชีวิต แต่หากมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ทุกคนก็พร้อมจะออกมาเปิดเผยตัวอย่างแน่นอน”