เมื่อวันนี้ 10 มี.ค. นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ให้สัมภาษณ์กรณีการเสียชีวิตของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ “อดีตผู้กำกับโจ้” ภายในเรือนจำ โดยตั้งข้อสังเกตว่า คดีนี้มีข้อพิรุธหลายประเด็นที่ต้องตรวจสอบ พร้อมเรียกร้องให้กรมราชทัณฑ์ชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างโปร่งใส

นายรณณรงค์ เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ทำคดีการเสียชีวิตในเรือนจำที่เกี่ยวข้องกับการแขวนคอมาแล้วกว่า 10 คดี ตนมองว่ากรณีของผู้กำกับโจ้ มีเงื่อนงำและอาจไม่ใช่การฆ่าตัวตายโดยสมัครใจ ลักษณะท่าทางของร่างผู้เสียชีวิตผิดปกติ จากลักษณะทั่วไปของการแขวนคอ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องผ้าขนหนูที่ใช้ก่อเหตุ ซึ่งถูกตัดออกหลังพบร่าง ทำให้เกิดคำถามว่า มีการเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานหรือไม่ อีกทั้งต้องตรวจสอบว่าหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปที่จุดเกิดเหตุเวลาใด และระหว่างนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ในแง่ของกฎหมาย คดีลักษณะนี้เคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกา กรณีที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวในโรงพักแล้วเสียชีวิตโดยการแขวนคอ ญาติสามารถฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และชนะคดีเรียกค่าเสียหายได้ ดังนั้นในกรณีของอดีตผู้กำกับโจ้ ญาติสามารถฟ้องกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการคลัง เพื่อเรียกค่าเสียหายจากเหตุละเมิดได้เช่นกัน

เปิดคำพิพากษา ‘อดีตผกก.โจ้-ถุงดำ’ จากประหารเหลือคุกตลอดชีวิต

ทนายรณณรงค์ กล่าวต่อว่า กรณีที่ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า อดีตผู้กำกับโจ้ เคยส่งทนายไปแจ้งความที่ สน.ประชาชื่น ว่าถูกผู้คุมทำร้ายร่างกาย ตนได้รับเรื่องร้องเรียนลักษณะนี้เช่นกัน และยืนยันว่าเหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นในเรือนจำอยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่ผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่ไม่กล้าเปิดเผยเพราะไม่มีหลักฐาน อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าควรมีผู้ตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกเข้าไปตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของนักโทษในเรือนจำ และไม่ควรอ้างกฎหมาย PDPA เพื่อปกปิดข้อมูล โดยเฉพาะในกรณีของอดีตผู้กำกับโจ้ ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการป่วยทางจิตเวช เนื่องจากแพทย์ของกรมราชทัณฑ์ระบุว่าเจ้าตัวป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แต่ทางญาติกลับยืนยันว่าไม่ได้ป่วย และไม่ต้องการถูกกักขัง ข้อขัดแย้งเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าหลายอย่างในคดียังไม่ชัดเจน

สุดท้ายอยากเรียกร้องให้กรมราชทัณฑ์ ออกมาชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดของกรณีอดีตผู้กำกับโจ้อย่างตรงไปตรงมา รวมถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับชั้น 14 ของเรือนจำ ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ พร้อมย้ำว่าควรมีมาตรฐานเดียวกันในการปฏิบัติต่อนักโทษทุกคน และไม่เลือกปฏิบัติต่อคนไทยด้วยกัน.