จากกรณี นายยุทธนา วิมลเมือง หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.ตรัง ในฐานะเลขาฯ ชุดตรวจสอบมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ นำกำลังลงพื้นที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา เพื่อตรวจสอบความโปร่งใสการบริหารงาน บริเวณเกาะสี่และเกาะแปดพร้อมกัน โดยไม่แจ้งล่วงหน้าให้ ว่าที่ร้อยเอก ฤทธิกรณ์ นุ่นลอย หัวหน้าอุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน ทราบก่อน พบว่า มีการจองตั๋วคนไทยในระบบ E-ticket ไม่เกิน 10 คน แต่ ป.ป.ช. ตรวจนับหน้าหาด พบว่าไม่มีคนไทย แต่กลับพบมีต่างชาติ 50 คน เข้าข่ายขบวนการฉีกตั๋วผี ทำให้ ว่าที่ร้อยเอก ฤทธิกรณ์ นุ่นลอย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ถูกสั่งย้ายพร้อมตั้งคณะกรรมการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
งามไส้! ป.ป.ช. ลุยสุ่มตรวจ อุทยานฯหมู่เกาะสิมิลัน พบขบวนการฉีกตั๋วโผล่อีกเพียบ
ด่วน!สั่งย้ายหัวหน้าอุทยานฯหมู่เกาะสิมิลัน-ตั้งกรรมการสอบ เซ่นขบวนการฉีกตั๋วผี
ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 มี.ค.68 รายงานข่าวจากทีมคลี่คลายการทุจริต รายงานว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบทำให้พบความไม่ชอบมาพากล ที่เห็นได้ชัดคือ รายได้อุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน ไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริง เมื่อสุ่มตรวจสอบก็พบความผิดปกติ เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวอุทยานฯหมู่เกาะสิมิลันจำนวนมาก และเป็นชาวต่างชาติ นับจำนวนรายหัวก็เพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา แต่กลับพบว่า การจองตั๋วในระบบ E-ticket กลับสำแดงว่าเป็นคนไทย เพื่อให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเท่าเดิม เปลี่ยนจากต่างชาติให้กลายมาเป็นคนไทย โดยอาศัยได้ส่วนต่างจากราคาค่าตั๋วที่กำหนดไว้แตกต่างกัน ระหว่างนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ พอไปตรวจนับหน้าหาด ก็พบความเป็นจริงว่า ไม่มีคนไทย แต่กลับพบมีแต่ชาวต่างชาติ
ทั้งนี้เมื่อดูราคาค่าตั๋วสำหรับนักท่องเที่ยว ก็พบว่า อัตราค่าเข้าชาวไทย เด็ก 50 บาท/คน ผู้ใหญ่ 100 บาท/คน ชาวต่างประเทศ เด็ก 250 บาท/คน ผู้ใหญ่ 500 บาท/คน ทั้งนี้ ราคาดังกล่าว ไม่รวมอัตราค่าบริการในการนำยานพาหนะเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ
เมื่อย้อนมาดูจะพบว่า การเปลี่ยนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มาเป็นนักท่องเที่ยวไทยนั้น ผู้กระทำจะกินส่วนต่างตรงนี้ถึง 400% เนื่องจาก นักท่องเที่ยวต่างชาติจากที่ต้องจ่ายในอัตรา ผู้ใหญ่ 500 บาท/คน จะมาเหลือจ่ายเพียง 100/คน เท่านั้น โดยผู้กระทำผิดจะได้ส่วนต่างรายหัว คนละ 400 บาท ทีเดียว เฉลี่ย 1 วัน มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,000 คน ก็จะได้ส่วนต่างตรงนี้ถึง 4 แสนบาททีเดียว ซึ่งถือเป็นขบวนการที่หากินกับผลประโยชน์ของภาครัฐ ซึ่งต้องเร่งขยายผลดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดและดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมายให้ถึงที่สุด.