สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ว่านักวิจัยพบว่าในช่วงทศวรรษที่ 1940 ผิวน้ำทะเลทั่วโลกมีคลื่นความร้อนรุนแรงเฉลี่ยปีละราว 15 วัน แต่ในปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวพุ่งขึ้นเกือบ 50 วันต่อปี โดยภาวะโลกร้อนเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเกือบครึ่งหนึ่ง
อนึ่ง คลื่นความร้อนทางทะเล หมายถึงช่วงเวลาที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงกว่าค่าปกติอย่างมาก และกินเวลาต่อเนื่องระยะหนึ่ง
การศึกษาดังกล่าวจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์จาก สถาบันเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อการศึกษาขั้นสูง มหาวิทยาลัยเรดดิง สถาบันวิทยาศาสตร์อวกาศนานาชาติ และมหาวิทยาลัยหมู่เกาะบาเลอาริก ซึ่งผลการศึกษายังพบว่า อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เหตุการณ์คลื่นความร้อนทางทะเลมีแนวโน้มยาวนานขึ้น และรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าคลื่นความร้อนทางทะเลสามารถทำลายระบบนิเวศใต้น้ำได้ อาทิ ทำให้แนวปะการังตาย ทำลายป่าสาหร่าย และเป็นอันตรายต่อทุ่งหญ้าทะเล
ทั้งนี้ ผลกระทบจากคลื่นความร้อนทางทะเลยังลุกลามขยายออกไปไกลเกินกว่ามหาสมุทร โดยนักวิจัยเตือนว่าความถี่ที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกมีเสถียรภาพน้อยลง และนำไปสู่พายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรง และเกิดบ่อยมากขึ้นในบางภูมิภาค.
ข้อมูล : XINHUA
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES