นายนิธิ วชิรโกวิทย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายจัดการด้านการเงินและบริหารสภาพคล่อง ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบการถอนเงินสดของคนไทยในปี 67 ลดลง 12% จากปี 62 และการใช้เช็คในปี 67 ลดลง 35% จาก 5 ปีที่ผ่านมา โดยไทยเป็นหนึ่งในผู้นำในการใช้พร้อมเพย์ในอาเซียน ซึ่งเมื่อปี 67 มียอดการชำระเงินผ่านพร้อมเพย์ถึง 651 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเกือบ 2 ครั้งต่อวันต่อคน สูงกว่าเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ที่อยู่ที่ 135 ครั้งในปี 62 ถึง 4.8 เท่า

ทั้งนี้ ยอดการชำระเงินผ่านพร้อมเพย์ต่อครั้งในปี 67 อยู่ที่ 480 บาท ซึ่งน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับปี 62 ที่อยู่ที่ 990 บาทต่อครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยใช้พร้อมเพย์ในชีวิตประจำวันมากขึ้น

ซึ่งปัจจัยที่ทำให้การใช้พร้อมเพย์และการชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัล ได้รับความแพร่หลายในไทย คือ ความสะดวกและง่ายในการใช้งานผ่านเบอร์โทรศัพท์หรือเลขบัตรประชาชน ค่าใช้จ่ายน้อยหรือแทบไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้บริโภค และการรองรับการใช้งานชำระเงินระหว่างประเทศ เช่น การใช้พร้อมเพย์ในการชำระสินค้าในฮ่องกง ที่ธนาคารเอชเอสบีซีเป็นธนาคารหลักในฮ่องกง

สำหรับการเติบโตด้านการชำระเงินดิจิทัล ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในเศรษฐกิจใหม่ และเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น อีคอมเมิร์ซ, ธุรกิจการจัดส่งขั้นสุดท้ายก่อนที่ลูกค้าจะได้รับสินค้า และธุรกิจจัดส่งอาหาร เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้ต้องการการชำระเงินแบบเรียลไทม์ทั้งการรับและการจ่ายเงิน โดย 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเติบโตเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

นอกจากนี้ ธุรกิจประกันเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีความต้องการการชำระเงินแบบเรียลไทม์สูง เพื่อใช้ในการรับและจ่ายค่าเบี้ยประกัน ตลอดจนยังมองเห็นโอกาสในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียนและซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัลช่วยเศรษฐกิจไทย เพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนผ่านการชำระเงินแบบเรียลไทม์ และทำให้ค่าใช้จ่ายในการชำระเงินเพื่อดำเนินธุรกิจลดลง รวมทั้งทำให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น ตลอดจนทำให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น