ก่อตั้ง บริษัท คิดคิด จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม “ECOLIFE” เริ่มเข้าสู่วงการด้านความยั่งยืนตั้งแต่การเปิดร้าน ECOSHOP ในปี 2551 ถือเป็นร้านที่รวบรวมสินค้าออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมร้านแรกในประเทศไทย หลังจากนั้นได้ให้บริการองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการดำเนินงาน และสื่อสารภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนออกสู่สาธารณะ
ทั้งนี้ได้ออกแบบและจัดทำแพลตฟอร์ม ECOLIFE ใช้เป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลและสร้างจูงใจคนไทยปรับพฤติกรรมให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ภายใต้หลักการ ESG คือแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยไม่หวังเพียงแค่ผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่คำนึงถึง 3 ปัจจัยหลักทั้งด้านสิ่งแวดล้อม คือ การจัดการการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ลดผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด รวมถึงการประเมินด้วยตัวชี้วัด เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปล่อยมลพิษ การจัดการของเสีย การลดการใช้พลังงานไฟฟ้า การรีไซเคิล เป็นต้น

ด้านสังคม คือความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อาทิ พนักงาน ลูกค้า ชาวบ้าน รวมถึงความไว้ใจจากลูกค้าและธรรมาภิบาล ที่ให้ความสำคัญความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ การต่อต้านทุจริต ผลประโยชน์ที่เป็นธรรม การเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาให้ทุกขั้นตอนสามารถตรวจสอบได้ เป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและศักยภาพธุรกิจให้เติบโตได้ในระยะยาว
ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร และ นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา คู่รักศิลปิน เริ่มต้นทำเรื่องสิ่งแวดล้อมจาก Passion ที่เชื่อว่า “เราทุกคนมีสิทธิอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่สิทธินั้นควรมาพร้อมหน้าที่ที่ทุกคนต้องช่วยกัน” โดยตลอด 14 ปีที่ผ่านมา ทั้งคู่ร่วมกันเปิดบริษัท คิดคิด จำกัด เพื่อทำเรื่องความยั่งยืนเพียงอย่างเดียวมาโดยตลอด รวมถึงการเป็นแบบอย่าง ให้การปรับพฤติกรรมเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องง่ายที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเช่น การใช้ถุงผ้าและกระบอกน้ำติดตัวไปตลอด การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ การแยกขยะง่าย ๆ การประหยัดไฟฟ้า ประปา การเลือกที่อยู่ใกล้ที่ทำงานเพื่อสามารถเดินไปทำงานได้

สำหรับผู้ที่เริ่มต้นปรับพฤติกรรม ทั้งคู่แนะนำให้เริ่มในเรื่องง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ก่อน และมองข้อดีของการได้ทำสิ่งนั้นเช่น ใช้กระบอกน้ำแล้วได้ส่วนลด เย็นนาน น้ำไม่เกาะข้างแก้ว ไม่เลอะโต๊ะ เราได้ประโยชน์พร้อมกับการลดการใช้พลาสติก (แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง) ที่เป็นที่มาของขยะในบ่อฝังกลบและในทะเล โดยกว่าจะย่อยสลายต้องใช้เวลาประมาณ 450 ปี แถมเรายังได้ช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์อีกด้วย
ปัจจุบันทั้งคู่เห็นว่า “ประเทศไทยได้สร้างการรับรู้ ให้คนไทยมามากมาย เราทราบเรื่องที่ทำแล้วจะดีกับสิ่งแวดล้อม ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องปรับจากการรับรู้ ให้กลายเป็นลงมือทำมากขึ้น เพราะผู้บริโภคเองก็อยากมีส่วนร่วมด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกับแบรนด์มากกว่าแค่รอรับฟังข่าวสาร รวมถึงการตอบข้อสงสัยของผู้บริโภค โดยเฉพาะแบรนด์ที่ประกาศตัวเรื่องความรักษ์โลกของสินค้าและบริการของตนเอง หรือองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน ที่เลือกหัวข้อการปฏิบัติจาก ESG, SDGs, BCG ก็ควรจะให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร เพื่อทำควบคู่ทั้งภายในและรณรงค์กับบุคคลภายนอกด้วย”

ECOLIFE version 3 พัฒนาเป็น Web Application เข้าใช้งานผ่าน LINE OA @ecolifeapp เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อย ลูกค้าจะสามารถดูโจทย์ของแต่ละแบรนด์เช่น แบรนด์ชวนคืนบรรจุภัณฑ์หรือแยกขยะ ร้านอาหารให้ลูกค้าทานให้หมดจาน ร้านกาแฟให้ลูกค้านำแก้วมาเอง เมื่อลูกค้าทำกิจกรรมและบันทึกข้อมูล ลูกค้าจะได้คะแนนเพื่อแลกรับสิทธิประโยชน์ที่แบรนด์จัดสรรให้กับลูกค้า แต่ถ้าเป็นพนักงานองค์กรแล้วได้ทำกิจกรรมตามโจทย์ที่องค์กรกำหนด แพลตฟอร์ม ECOLIFE จะมีระบบช่วยตรวจสอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของข้อมูลให้ฝ่ายบุคคล(HR) มากขึ้น

เป้าหมายที่นอกจากสร้างการมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ยังคำนึงเรื่องรายได้เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนและเติบโตต่อเนื่องทุกปี จึงได้ร่วมกับแบรนด์และองค์กรที่หลากหลาย อาทิ TikTok ต้องการส่งเสริมให้เด็กไทยได้แยกขยะ ทีมงานคิดคิดจึงทำการตั้งโครงการ Re Act for Change ด้วยการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน ทำการจัดงานเปิดตัว การออกแบบรถเพื่อวิ่งประชาสัมพันธ์ตามสถานที่สำคัญในกรุงเทพฯ ประสานความร่วมมือทุกโรงเรียนเพื่อบันทึกข้อมูลใน ECOLIFE การจัดงานมอบประกาศนียบัตรและรางวัลให้โรงเรียนและคุณครู รวมถึงการใช้ TikTok เพื่อทำ Challenge และประชาสัมพันธ์ โดยได้ผู้ร่วมชมคลิป (view) 251.4 ล้านวิว
เมื่อสรุปโครงการฯ จึงเกิดความร่วมมือกับโรงเรียนในสังกัดกทม. จำนวน 231 แห่ง แยกขยะได้ 369,739 กิโลกรัมลดคาร์บอนฟุตพรินต์ 914,811 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCo2eq) อีกตัวอย่างคือ โครงการ กรีนฮับ ของไปรษณีย์ไทย โดยบริษัท คิดคิด จัดการตั้งแต่เรื่องการออกแบบโลโก้ ที่ใส่ขยะรีไซเคิลที่เหมาะสม การแต่งเพลงประจำโครงการฯ การสื่อสารประชาสัมพันธ์ทั้งรูปแบบออนไลน์ และออฟไลน์ เพื่อเป็นจุดรับขยะรีไซเคิลและส่งต่อไปจัดการให้ถูกต้อง ด้วยระยะเวลาประมาณ 6 เดือนได้แยกขยะไปแล้ว 25,356 กิโลกรัม และลดคาร์บอนฟุตพรินต์ 93,772 kgCo2eq และยังคงดำเนินการในการสร้างความร่วมมือพร้อมรวบรวมขยะรีไซเคิลเพื่อนำไปจัดการให้เกิดประโยชน์กับสังคมต่อไป

ในปี 2568 ถือเป็นปีของ ECOLIFE version 3 ที่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับ แบรนด์ ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของผู้บริโภค อีกด้านคือองค์กรที่ต้องการขยับขยายไปในส่วนของการสร้างวัฒนธรรมด้านความยั่งยืนจากพนักงานของตนเอง ควบคู่ไปกับการใช้พลังงาน การขนส่ง และการปรับวิธีการดำเนินธุรกิจในทุกรูปแบบ เพื่อบรรลุเป้าหมาย สร้างแรงกระเพื่อมด้านความยั่งยืน ก่อนขยายผลไปยังกลุ่มอื่น ๆ อาทิ โรงพยาบาล วัด ตลาด ชุมชน ในอนาคต
พร้อมทั้งมองหาผู้ร่วมทุนที่มองเห็นโอกาสในการเติบโต และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาและการสร้างนวัตกรรมด้านความยั่งยืน ที่ทุกคนสามารถลงทะเบียนได้ฟรีแบบง่าย ๆ ทาง LINE OA @ecolifeapp แล้วอย่าลืม Action เพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นหรือรับสิทธิประโยชน์กับเรา.