เมื่อวันที่ 29 เม.ย. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา ยอมรับตอนหนึ่งว่า “ทางสหรัฐอเมริกาได้ใช้ข้อมูลจากหลายหน่วยงานเข้ามาผสม ทั้งเรื่องของความมั่นคง เรื่องที่เรามีปัญหาการฟ้องร้องคนอเมริกันอยู่บ้าง ซึ่งถูกนำเอามารวมกันหมด” 

โดย น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า แม้คุณทักษิณจะไม่ได้เอ่ยตรงๆ ว่าความมั่นคงเรื่องใด หรือเราฟ้องชาวอเมริกันคนใดบ้าง แต่พอเดาได้ว่าทางสหรัฐ ได้หยิบยกเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์ และปัญหาการฟ้องร้อง นายพอล แชมเบอร์ส นักวิชาการอเมริกัน เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา หรือหนักกว่านั้นคืออาจเป็นเงื่อนไขว่าจะ “ได้เจรจา” หรือไม่ 

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า แต่สิ่งที่คุณทักษิณยังไม่ได้ตอบก็คือ นอกจากมีสติแล้ว เราจะแก้ปัญหา 2 เรื่องนี้อย่างไรต่อ ที่จริงคนที่ต้องตอบเรื่องนี้คือรัฐบาล ตั้งแต่อะไรคือปัญหาที่แท้จริงที่กลายเป็นชนวนทำให้เรายังไม่สามารถเดินหน้าเจรจาได้เหมือนประเทศอื่น ไปจนถึงทางออกของปัญหา 2 เรื่องนี้ ลำพังเรื่องนายพอล แชมเบอร์ส คงสามารถหาทางออกได้ด้วยการถอนฟ้อง และดำเนินการกับหน่วยงานที่ไปแจ้งความโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้ง เรื่องชาวอุยกูร์อาจจะแก้ได้ยากกว่า อย่างน้อยที่สุดก็ต้องยืนยันว่าจะไม่กระทำแบบเดิมซ้ำอีกกับชาวอุยกูร์ที่ยังเหลืออยู่ที่สถานกักกันของ ตม.

“จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างกับสังคมด้วยตัวเอง ไม่ยืมปากคุณทักษิณ ที่ไม่ได้มีตำแหน่ง อำนาจ หน้าที่หรือความรับผิดชอบใดๆ ยืดอกรับผลการกระทำที่ส่งผลเสียหายมาถึงปากท้องของประชาชนหากเราตกขบวนการเจรจา และแถลงแนวทางแก้ไขที่จะทำให้การเจรจาสามารถเดินหน้าต่อได้ โดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชนและประธานคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในชั้นกรรมาธิการ ตนเห็นว่าการแจ้งความ ม.112 กับนายพอล แชมเบอร์ส เป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายการใช้อำนาจโดยมิชอบ ทั้งหลักฐานที่ กอ.รมน. นำมาแจ้งความ ที่เป็นเพียงเว็บไซต์สูจิบัตรแนะนำหัวข้อสัมมนาออนไลน์ ที่ พอล แชมเบอร์ส ไม่ได้เป็นผู้เขียน และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ISEAS-Yusof Ishak Institute ที่เป็นผู้จัดงานสัมมนา

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ยิ่งฟัง พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงต่อสื่อมวลชน ก็ยิ่งรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะ พล.ต.วินธัย ชี้แจงว่า การกระทำผิด ม.112 นั้น เป็นอาญาแผ่นดิน ใครที่พบเห็นการกระทำผิดสามารถแจ้งความได้ ซึ่งไม่ผิดเลยถ้า พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ ไปแจ้งความในฐานะปัจเจกบุคคล แต่ข้อเท็จจริงคือ พล.ท.กิตติพงษ์ ไปแจ้งความในนามของ กอ.รมน. ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ ซึ่งการดำเนินการต้องอยู่ภายใต้หลักการของกฎหมายมหาชน คือจะทำได้ก็ต่อเมื่อกฎหมายระบุให้ทำ และเมื่อพิจารณาจาก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 แล้ว ทั้งผู้แทนจาก กอ.รมน. ภาค 3 และ พล.ต.วินธัย ยังไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่าใช้อำนาจตามมาตราใด

นายวิโรจน์ กล่าวว่า สิ่งที่ กอ.รมน. กระทำ นอกจากจะเข้าข่ายการบ่อนทำลายหลักนิติรัฐแล้ว ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเกี่ยวพันกับประโยชน์ของประเทศอย่างใหญ่หลวง และที่น่ากังวลที่สุด ก็คือการกระทำในครั้งนี้ อาจเข้าข่ายการอ้างความจงรักภักดี ใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือในการก่อข้อพิพาทระหว่างประเทศ โดยที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องตกอยู่ท่ามกลางข้อพิพาทนั้น กระทบต่อพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในเวทีโลก

“ขนาดคุณทักษิณ ชินวัตร พ่อของนายกรัฐมนตรี ยังออกมายอมรับเองว่า เรื่องนี้อาจมีผลกระทบต่อการเจรจากรณีภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศสหรัฐอเมริกา แต่จนถึงปัจจุบันนายกฯ แพทองธาร ในฐานะ ผอ.รมน. ก็ยังไม่แสดงความเห็นเรื่องนี้ ว่าจะคลี่คลายสถานการณ์อย่างไร หากปรากฏภายหลังว่าคดีนี้ มีการสั่งไม่ฟ้อง ยกฟ้อง หรือมีคำพิพากษาเป็นที่สุดว่า พอล แชมเบอร์ส มิได้กระทำผิดตามที่ถูกแจ้งความดำเนินคดี กอ.รมน. และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ จะรับผิดชอบต่อความเสียหายของประเทศและประชาชนอย่างไร” นายวิโรจน์ กล่าว 

นายวิโรจน์ กล่าวว่า นี่จึงเป็นอีกข้อพิสูจน์ว่ารัฐบาลเพื่อไทย ไม่มีเจตจำนงในการทำให้รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพเลย ปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงลุแก่อำนาจ ใช้ ม.112 ตามอำเภอใจ เหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป โดยไม่สนใจเลยว่า ความเขลา และความคลั่งอำนาจของตน จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนแค่ไหน จะทำลายเกียรติภูมิของประเทศในเวทีโลกเพียงไร ถ้าบ้านเมืองของเรายังมีรัฐทหารที่อยู่เหนือกฎหมาย สามารถทำตามอำเภอใจตนเองอย่างไรก็ได้ การปฏิรูปกองทัพจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย.