จากกรณี น.ส.กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.พรรคประชาชน แถลงข่าวตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดสิทธิประโยชน์ตรวจหาความเสี่ยงของกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรมในทารก (Non-Invasive Prenatal Testing: NIPT) ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งมอบหมายให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รับจัดซื้อจัดจ้างภายใต้งบประมาณ 500-600 ล้านบาท หรือราวๆ 1,700 บาทต่อคน มีการกำหนดคุณสมบัติในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างว่าขั้นตอนในการจำลองตัวเองของ DBA ต้องดำเนินการภายในตัวเครื่อง จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าคุณสมบัติเฉพาะ ที่กรมวิทย์กำหนดไว้ มีเพียงบริษัทเดียวในตลาดที่ตอบโจทย์ โดยผลการประมูลมีผู้เข้าร่วม 2 ราย รายที่ชนะเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางเพียง 100,000 บาท และต่อมาทาง สปสช. ได้ปรับค่าหัวในการตรวจดังกล่าวเพิ่มเป็น 2,700 บาท ครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่เจาะเลือด ขนส่ง วิเคราะห์ผลไปจนถึงรายงานผล แต่เห็นว่า เป็นราคาที่ต่ำมาก จึงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพ จนต้องมีการรับฟังความเห็นและยังไม่มีการสรุป แต่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กลับระบุว่า ผ่านปี 2568 มาครึ่งปีแล้ว เพื่อไม่ให้เสียโอกาสควรเริ่มเลยดีว่า ซึ่งตนมองว่า เหตุใดต้องเร่งรีบ จึงขอตั้งข้อสงสัยต่อกรมวิทย์ และ สปสช. ในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการนี้ ในฐานะ สส.พรรคประชาชน และรองประธานคณะ กมธ.การสาธารณสุข คนที่หนึ่ง จะนำเรื่องนี้เข้าพิจารณาในการประชุม กมธ. ครั้งถัดไป และจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
ล่าสุดวันที่ 29 เม.ย. ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้ว่า สิทธิประโยชน์ดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการเขียนร่างประกาศใช้ จริงๆ สิทธิประโยชน์ดังกล่าว ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เรียบร้อยแล้ว เดิมอนุมัติเป็นสิทธิประโยชน์ มีอัตราการจ่ายเท่านั้น เท่านี้ แล้วไปหารือกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อจัดระบบบริการ และกำลังเขียนร่างประกาศ ระหว่างนี้ก็เอาร่างประกาศดังกล่าวขึ้นไปบนเว็บไซต์ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดูว่าจะปรับตรงไหน เพิ่มตรงไหน ปรากฏว่ามีความเห็นกลับเข้ามาเยอะ หนึ่งเลยเรามีเป้าหมาย 2 แสนราย ในจำนวนนี้ปรากฏว่ามีหลายหน่วยงานที่สามารถดำเนินการได้ ทั้งมหาวิทยาลัยแพทย์ สถานพยาบาลเอกชนก็ทำได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ทำได้
รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า ดังนั้นทาง สปสช. จึงมองว่า ถ้าเช่นนั้นก็ควรเปิดรับฟังอย่างรอบด้าน จึงเชิญมหาวิทยาลัยต่างๆ เอกชน สภาเทคนิคการแพทย์ รวมทั้งกรมวิทย์ มาประชุมเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และได้ความเห็นที่หลากหลายว่า ในส่วนของมาตรฐานนั้นควรยึดตามที่กรมวิทย์ กำหนด หรือมาตรฐานอื่นที่เทียบเคียง ซึ่งเป็นความเห็นคณะแพทย์ รามาฯ ซึ่งมีศูนย์จีโนมิกส์ อยู่ และสภาเทคนิคการแพทย์ ตอนนี้จึงอยู่ระหว่างการเอาความเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มารวมกัน เพื่อจะคุยกันใน สปสช. ว่าเราจะปรับร่างประกาศอย่างไร เพื่อ 1.ไม่เป็นการปิดกั้นให้เพียงหน่วยเดียว แต่เปิดให้หน่วยอื่นที่มีศักยภาพ มีคุณภาพเข้ามาได้ 2.พอเข้ามาได้ก็จะจัดเครือข่ายของการตรวจดังกล่าวต้องทำให้ครบ ไม่ใช่ทำครึ่งๆ กลาง
“เรื่องนี้ได้มีการหารือกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ระหว่างที่เดินทางไปโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ด้วยกันมา ซึ่งนายสมศักดิ์ ย้ำว่าเรื่องนี้ต้องมีการเปิดกว้าง ก็ไปดูมาตรฐานทั้งมาตรฐานหลัก มาตรฐานเทียบเคียง หากเขาได้มาตรฐานก็ต้องเปิดโอกาสให้ทุกๆ หน่วยเข้ามา ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ทางพรรคประชาชนเอาไปพูด หรือมหาวิทยาลัย หรือใครที่แนะนำมา เรารับฟังหมด ไม่ได้ปิดกั้นใครเลย” ทพ.อรรถพร กล่าว
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับค่าตรวจ 2,700 บาท รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า จริงๆ การตรวจดังกล่าวเป็นมาตรฐานที่มีราคาแพง หลักหลายพันบาท ส่วน 2,700 บาท รวมทุกอย่าง ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำเกินไป แต่ยืนยันว่าเราไม่ได้เอื้อใคร
เมื่อถามว่า กรรมาธิการสาธารณสุขจะเชิญ สปสช. เข้าไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ตนอาจจะเป็นคนเข้าไปให้ข้อมูลเอง ซึ่งพร้อมที่จะชี้แจงอยู่แล้ว เราชี้แจงได้หมด ไม่มีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิทธิประโยชน์ดังกล่าวอนุมัติใช้ปี 2568 แต่ตอนนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้วจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ตามหลักการออกสิทธิประโยชน์ของ สปสช. นั้น เดิมพอบอร์ด สปสช. อนุมัติ เราก็ออกข่าวเลย ทำให้ประชาชนคาดหวังว่าจะเริ่มได้เลย แต่จริงๆ กระบวนการเกิดสิทธิจะพร้อมได้เมื่อมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก่อนประกาศก็จะมีการเชิญหน่วยบริการต่างๆ มาซักซ้อมทำความเข้าใจกันให้เรียบร้อย แต่บังเอิญเรื่องนี้เป็นข่าวเร็วไป เลยยุ่ง แต่ตอนนี้เราปรับใหม่แล้วว่าจะทำให้เสร็จหมดแล้วค่อยออกข่าว จริงๆ มันต้องการการเตรียมระบบพอสมควร ยืนยันว่าไม่มีการเอื้อประโยชน์ใคร
“ที่มีกระแสว่ามีบริษัทหนึ่งแห่ง สองแห่งอะไรนั้น ยืนยันว่าเราไม่เกี่ยวเลย” รองเลขธิการ สปสช. กล่าว.