พร้อมกล่าวต่อไปว่า แม้ปัจจุบันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอาจประสบกับความล่าช้า เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองและนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้สถาบันการเงินทั่วโลกบางแห่งชะลอหรือถอนตัวจากแนวทางการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ ESG แต่สถานการณ์ดังกล่าวกลับเป็นแรงผลักดันให้ประเทศในทวีปยุโรปและเอเชียเร่งดำเนินการสนับสนุน Green Finance อย่างจริงจังและเข้มข้นยิ่งขึ้น

“แม้การเปลี่ยนผ่านอาจมีบางช่วงที่ต้องชะลอตัว แต่ Green Finance จะไม่หยุดเดินหน้า เพราะเทคโนโลยีที่มีความพร้อมและเติบโตเต็มที่ อย่างพลังงานหมุนเวียน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และโซลาร์เซลล์ กำลังทำให้การลดคาร์บอนกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้และคุ้มค่ามากขึ้น” วิชัย กล่าว

ด้วยตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว กสิกรไทยจึงได้เร่งขับเคลื่อนนโยบาย Green Finance พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 และวางแผนที่จะปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) เป็นมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573

ในช่วงที่ผ่านมา กสิกรไทยได้มีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของลูกค้าอย่างรอบด้าน อาทิ การจัดตั้ง Creative Climate Research Center (CCRC) เพื่อศึกษาตลาดคาร์บอนเครดิตและพัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดทำแผนงานเพื่อสนับสนุนด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และเงินทุนที่สอดคล้องกับความต้องการ
ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ
ภาคธุรกิจ

อีกประเด็นหนึ่งที่วิชัยหยิบยกขึ้นมาพูดถึงคือเรื่องของ กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป หรือ Thailand Taxonomy ของประเทศไทย ส่งผลให้หลายกิจการยังคงลังเลที่จะลงทุนในด้านสิ่งแวดล้อม โดยมองว่าเป็นประเด็นที่ไกลตัว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่เริ่มต้นปรับตัวก่อนจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว

ด้วยเหตุนี้ กสิกรไทยจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางเทคโนโลยีในการพัฒนาโซลูชันเพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยคาร์บอน ไม่ว่าจะเป็นระบบตรวจวัดคาร์บอนเครดิต เทคโนโลยีพลังงานสะอาด ไปจนถึงระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินเฉพาะทาง เช่น Green Loan, Sustainability-Linked Loan และพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบ Carbon Credit หรือ Renewable Energy Certificate

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการสนับสนุน “การเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน” (Transition Finance) สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง เช่น อุตสาหกรรมซีเมนต์ เหล็ก และพลังงานฟอสซิล ซึ่งมีสัดส่วนการปล่อยรวมกันถึง 82% ของปริมาณการปล่อยทั้งหมดในประเทศ และคิดเป็น 38% ของ GDP แม้ว่าธุรกิจเหล่านี้จะไม่เข้าข่าย Green Finance โดยตรง แต่ด้วยบทบาทที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่แนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพราะหากไม่มีเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมเพื่อรองรับในส่วนนี้ อาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภาพรวม

และแม้ว่าประเทศไทยจะเริ่มมีการนำ Thailand Taxonomy มาใช้ในภาคพลังงานและขนส่ง แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลยังมีสัดส่วนสูงถึง 81% ของอุปทานพลังงานทั้งประเทศ แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานภายในประเทศเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่ครอบคลุม กสิกรไทยจึงเสนอให้มีการนำมาตรฐานสากลเพิ่มเติม เช่น IEA Net Zero Roadmap, Japan Climate Transition Bond Framework และ ASEAN Transition Finance Guidance มาใช้ควบคู่กัน เพื่อ
เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิชัยกล่าวทิ้งท้ายว่า กสิกรไทยไม่ได้จำกัดบทบาทของตนเองไว้เพียงแค่การเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อเท่านั้น แต่จะทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมย้ำว่า “ความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเส้นทางที่เราต้องเดินไปด้วยกัน และใครเริ่มก่อน ย่อมมีโอกาสไปได้เร็วกว่า”.