เมื่อเวลา 08.50 น. วันที่ 6 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวันในพื้นที่จังหวัดชายแดน จะมีมาตรการรับมืออย่างไร เช่น กรณีกลุ่มผู้ก่อการร้ายกราดยิงชาวบ้านไทยพุทธ จ.นราธิวาส ว่า ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวประชาชนทั้งชาวไทยพุทธและชาวมุสลิม แล้วตนคิดว่าการกระทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม และเป็นการใช้ความรุนแรงในการเข้าไปแก้ไขปัญหาโดยการที่เข้าไปยิงพระเณร เด็ก คนชราและผู้พิการ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้การต่อสู้ที่กำลังต่อสู้จะประสบความสำเร็จได้เลย เราเองก็พร้อมที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว ในขณะนี้ได้มีการสั่งทั้งทางทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ไม่ให้หยุดอยู่กับที่ ให้มีการปฏิบัติการเชิงรุกเข้าไป

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ตนขออธิบายคำว่าปฏิบัติการเชิงรุก เพราะมีหลายคนเอาไปตีความในความหมายที่แย่ เสมือนว่าเราจะไปเข่นฆ่าเขา ทั้งนี้การปฏิบัติการเชิงรุกของเราคือไม่ได้อยู่ในที่ตั้ง อาจจะต้องตั้งด่านเข้มงวดขึ้น ได้มีการส่งหน่วยปฏิบัติการเร็ว เข้าไปอยู่ในจุดต่าง ๆ ที่มีความสงสัยว่าจะเกิดเหตุ อีกทั้งส่งกำลังไปดูแลประชาชนตรงจุดที่มีปัญหา ตนขอย้ำว่า ตั้งแต่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ได้พบกัน ได้มีความตกลงกันว่า จะให้ฝ่ายปฏิบัติการที่ตนดูแลพบกับผู้อำนวยความสะดวกทางมาเลเซีย และตนก็ได้พบแล้วโดยได้ชี้แจงว่า เราไม่ได้ยินยอมเรื่องความรุนแรง

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า เพราะฉะนั้นถ้าจะใช้คนรุนแรงมันยากที่จะมาเจรจากัน ถ้าเขายอมรับในสิ่งที่เราตกลงกันว่าเราจะคุยกันอย่างสันติ ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถยุตติความรุนแรงและมาเจรจาได้ ยืนยันว่าไม่ใช่เราไม่พร้อมที่จะเจรจา ตนยินดีที่จะเจรจาหากมันแก้ปัญหาได้ และการเจรจาก็เพื่อที่จะหาทางออกร่วมกัน สำคัญคือที่ผ่านมาเราไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่จะเจรจาได้ เพราะเจรจามาโดยตลอด การสู้รบกันเองก็ไม่เคยเกิดขึ้น ตนได้เคยทดลองตอนช่วงช่วงรอมฎอน ว่าขอให้หยุดเหตุรุนแรงให้ได้ทั้งหมดและมาเริ่มต้นเจรจากัน แต่ว่าช่วงรอมฎอนตอนปลายก็ก่อความรุนแรงเช่นเดิม เพราะฉะนั้นหากคุมไม่ได้จะมีการเจรจาเพื่ออะไร 

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า วันนี้ตนพร้อมและทีมเจรจาตนก็พร้อมตั้งขึ้นมาทันทีหากทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขว่าตัวแทนเจรจาสามารถสั่งการให้หยุดได้ โดยประเด็นที่อยากเจรจา มีเงื่อนไข ที่ได้ฝากกับผู้อำนวยความสะดวกไป คือ ประเด็นแรกต้องหยุดเรื่องความรุนแรงจริง ๆ ไม่ใช่เป็นการใช้เกมการเมืองว่า อยากทำอะไรปกติก็ต้องมีการเข่นฆ่า และออกแถลงการณ์มาประณามคนเข่นฆ่า ก็ไม่มีความหมาย เพราะคนที่ดำเนินการต่อสู้กับรัฐอยู่ขณะนี้ ก็มีอยู่กลุ่มเดียว เพราะฉะนั้นต้องเลิกเล่นการเมือง และเลิกทำตัวไม่ตรงกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ประเด็นที่สองตนเองได้บอกไปแล้วว่า เรายอมรับในพหุวัฒนธรรม ซึ่งเขาก็ต้องยอมรับในสิ่งนี้ด้วย ประเทศไทยมีจุดแข็งที่อยู่ร่วมกันได้ทุกศาสนา เมื่อก่อนในพื้นที่ภาคใต้ชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมก็อยู่ร่วมกัน เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นจากความพยายามจากความพยายามในการแยกรัฐ ตนคิดว่าต้องอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรม 

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สามตนยินดีที่จะเจรจาพูดคุย ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐเป็นรัฐเดียวแบ่งแยกไม่ได้ ดังนั้นการจะเจรจาเพื่อเป็นรัฐปาตานี หรือรัฐอะไรก็ตาม เราไม่พร้อมเจรจาด้วย แต่ถ้าจะคุยในเรื่องการอยู่ร่วมกันหรือความร่วมมือ อันนี้เรายอมรับได้ เรายอมรับอยู่แล้วว่าการที่จะให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ มีส่วนร่วมในการปกครองตัวเอง เรื่องนี้มาคุยกันจะเอารูปไหนก็ได้ ถ้ายึดหลักตามที่ตนบอกไป ไม่แบ่งแยกเป็นรัฐอิสระ ไม่ดำเนินการภายนอกรัฐธรรมนูญไทยที่มีอยู่ ก็มาคุยกันว่าจะเอารูปแบบไหน ตนได้ให้เงื่อนไขกับผู้อำนวยการสะดวกไปแล้ว ซึ่งจริง ๆ ที่ทุกคนเห็น ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ทำอะไร เราทำไปหลายส่วน 

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า และเมื่อวาน (5 พ.ค. 2568) ตอนโอกาสเจอกับแม่ทัพภาคที่ 4 (มทภ.4) และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (ผบช.ภ.9) ตนได้กำชับไปว่าขณะนี้ต้องยุติความรุนแรงให้ได้ก่อน เรื่องอื่น ๆ ถึงจะสามารถดำเนินการได้ ถ้าเรื่องนี้ยังไม่ได้ไม่ต้องมาพูดอะไร และตนเห็นด้วยกับนายสุนัย ผาสุข และสิ่งที่ที่พูดมาควรจะนำไปขบคิดกัน อย่าใช้การเมืองให้พูดกันตรง ๆ อย่างจริงใจ และหากอยากแก้ปัญหาให้นำความจริงมาพูดกัน ผู้สนับสนุนหรือฝ่ายต่าง ๆ ต้องเข้าใจความเป็นจริง วันนี้ต้องตั้งคำถามให้ถูกจุดว่ากลุ่มที่ใช้ความรุนแรงทำอะไรกันอยู่ ไม่ใช่อยู่ ๆ มาโจมตีรัฐอย่างเดียว พร้อมยืนยันว่ารัฐไม่ได้อยู่นิ่งและมีการเตรียมความพร้อม แต่ต้องอยู่ภายใต้สิ่งที่รัฐสามารถดำเนินการได้ 

เมื่อถามอีกว่าจะมีมาตรการดูแลประชาชนเพิ่มขึ้นหรือไม่ หลังผู้ก่อความไม่สงบร่อนใบปลิวขู่ทำร้ายประชาชนไทยพุทธกับพระสงฆ์ให้มากขึ้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า พอเราออกแถลงการณ์ประณามแล้วฝั่งผู้ก่อความไม่สงบทำแบบนี้ ถามว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้น่าเชื่อถือหรือไม่ แต่ยืนยันว่าเขาคงทำไม่ได้ เพราะขณะนี้เราได้ปรับกำลัง และปรับหน่วยเคลื่อนที่เข้าไปคุ้มครองพื้นที่ชาวไทยพุทธ รวมถึงได้คุยกับผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) อย่างใกล้ชิดตลอด ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง และเป็นการพิสูจน์ให้ประชาชนได้เห็นว่าเป็นวิถีที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งการที่ชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมได้เห็นแถลงการณ์ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบถามว่าเป็นสิ่งที่ชอบทำหรือไม่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม มองเห็นชีวิตผู้คนที่ไม่เป็นมนุษย์ และยิ่งทำแบบนี้จะยิ่งทำให้เกิดปัญหา

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าภาคใต้ของประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาอย่างมาก ถ้าสองฝ่ายคือไทยกับมาเลเซีย ร่วมมือกันบริหารจัดการจะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ และเชื่อว่าจะมีคนพร้อมมาลงทุนจำนวนมาก แต่ความรุนแรงจะต้องยุติเพื่อให้เกิดความมั่นคง เพราะความรุนแรงไม่มีประโยชน์ ซึ่งตนมีแผนที่จะคุยกับทางมาเลเซียเรื่องนี้อยู่แล้ว และตนขอย้ำว่าไม่ได้หมายความว่าตนจะใช้ความรุนแรงไปฆ่าคน แต่เป็นการใช้กำลังของเราที่มีอยู่ปกป้องคน และประชาชนในพื้นที่เหล่านั้น ให้ได้รับความปลอดภัยมากที่สุด โดยวันพรุ่งนี้ (7 พ.ค. 2568) ตนได้มอบหมายให้ รมช.กลาโหม ลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ไปพูดคุยให้กำลังใจดูแล เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง และขอให้ชาวไทยมองปัญหาอย่างเข้าใจ เห็นใจเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฎิบัติงานอยู่โดยเอาชีวิตเข้าเสี่ยงที่จะแก้ปัญหา อย่าหลงประเด็นที่ถูกบิดเบือนไป เพราะประเด็นสำคัญคือไม่ควรมีการเข่นฆ่าประชาชน ถ้าไม่มีเรื่องนี้แล้วค่อยมาคุยกัน แต่ถ้าเอาเรื่องนี้มาบีบเราคงยอมไม่ได้ และเราจะต้องดำเนินการอย่างแข็งแรงเด็ดขาด เพื่อให้ประชาชนของเรามีความปลอดภัย